พิมพ์ไทยออนไลน์ // โป๊ะอตก รหมสายสีส้ม กลิ่นทุจริตเอื้อประโยชน์ .ปรับแก้เงื่อนไขทีโออาร์ “รถไฟฟ้าสีส้ม” โผล่ว่อนหลังบริษัทรับเหมายักษ์ดิ้นพล่านร้องค้าน
ฝ
โครงการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี เลี่ยงไม่พ้นวุ่นหนัก ผู้บริหาร การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. แอบปรับเปลี่ยนเงื่อนไขทีโออาร์ “บีทีเอส” รับไม่ได้กติกาใต้โต๊ะ จากเดิมยึดกรอบผู้เสนอผลตอบแทนสูงสุดให้รัฐ แต่โดนยัดไส้แต่งเติมประเด็นเทคนิค เข้าทางผู้ประเมินเต็มๆ เอื้อประโยชน์กลุ่มธุรกิจสัมพันธ์ลึกการเมือง
โครงการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี กลายเป็นปมร้อนที่ต้องวัดใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อโครงการฯ ซึ่งมีระยะทาง 35.9 กิโลเมตร และอยู่ภายใต้การดูแลของ รฟม. กำลังถูกใบสั่งให้ทุกวิถีทาง เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจ กับบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายยักษ์แห่งหนึ่ง
สำหรับ ความเป็นมาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม นั้น รฟม.ได้เปิดให้มีการซื้อเอกสารประกวดราคาไปก่อนหน้านานแล้ว และมีบริษัทเอกชนใหญ่ ๆ ให้ความสนใจมากถึง 10 ราย ด้วยหลักการที่รับรู้ รับทราบ ตั้งแต่เริ่มต้นว่าจะยึดเอาผลการประมูลว่าด้วยผลตอบแทนต่อรัฐ หรือผู้ให้ราคาตอบแทนสูงสุดเป็นตัวชี้วัด โดยมีไทม์ไลน์สำคัญ คือ รฟม. กำหนดให้ยื่นซองประมูลในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
ส่วนขั้นตอนการประมูลโครงการฯ จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ ซึ่งมี “กิตติกร ตันเปาว์” ผู้ช่วยผู้ว่าการ รฟม. เป็นประธาน ส่วนคณะกรรมการฯ ดังกล่าวเป็นไปตามกระบวนการของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 เนื่องด้วยเพราะเป็นโครงการร่วมลงทุนขนาดใหญ่ มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท โดยเอกชนต้องออกแบบและก่อสร้างงานโยธา รวมทั้งลงทุนจัดหาและให้บริการระบบรถไฟฟ้า
ขณะที่หลักเกณฑ์การตัดสิน รฟม.กำหนดในเงื่อนไขทีโออาร์ กำหนดไว้อย่างชัดเจน ว่า ในการประเมินและเปรียบเทียบข้อเสนอนั้น ผู้ยื่นข้อเสนอที่มี NPV ของ “สุทธิผลประโยชน์สุทธิสูงที่สุด” จะได้รับการประเมินให้เป็นผู้ชนะการประมูล ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติทั่วไป หลังจากผู้ประมูลมีคะแนนผ่านเกณฑ์ ทั้งด้านคุณสมบัติและด้านเทคนิค มาก่อน
แต่ปรากฎว่าภายหลังข้อกำหนด ว่าด้วยเงื่อนไขการประมูลเผยแพร่สู่สาธารณะ กลับเกิดปรากฎการณ์ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงในภายหลัง ด้วยผลสืบเนื่องจากข้อเรียกร้องของบริษัทผู้รับเหมาแห่งหนึ่ง ผ่านการทำหนังสือร้องเรียนไปยัง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. ในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจดูแลการปฎิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ โดยระบุว่า ไม่ควรพิจารณาให้ผู้ชนะเป็นผู้ที่เสนอ “ผลประโยชน์ทางการเงินสูงสุด” แต่ควรพิจารณาจากผู้ที่ให้ “ประโยชน์สูงสุดแก่รัฐในภาพรวม ที่จะทำให้โครงการสำเร็จได้”
นี่จึงเป็นที่มาของข้อพิรุธที่กำลังนำไปสู่ความวุ่นวาย
สำหรับการเดินหน้าโครงการระบบขนส่งมวลชน ที่ถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักองภาครัฐ เพราะมีการตรวจพบว่าข้อพิรุธว่าด้วยการแก้ไขคุณสมบัติของผู้ชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เป็นเรื่องจริง
เนื่องจากพบเอกสารหลุดรอด ปรากฎออกมาว่า มีการเพิ่มเติมประเด็นการตัดสินผลประมูล ในข้อเสนอด้านเทคนิค โดยเฉพาะเงื่อนไขว่าด้วย เทคนิคด้านการก่อสร้างงานโยธา ซึ่งจะมีการนำไปคิดคำนวณผลการประเมินด้านเทคนิค ด้วยอัตราส่วนถึงร้อยละ 50 และผลการประเมินด้านเทคนิค ยังต้องถูกนำไปพิจารณาประกอบกับผลคะแนนทางการเงิน ต่างจากเงื่อนไขเดิมที่กำหนดไว้ในทีโออาร์
ข้อสังเกตสำคัญ ก็คือ โดยข้อเท็จจริง นายระภาส คงเอียด ผู้อำนวยการ สคร. เพิ่งจะส่งต่อหนังสือร้องเรียนของบริษัทรับเหมากอสร้างแห่งหนึ่งไปยัง รฟม. เพื่อแจ้งไปยังคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ โดยระบุว่า เป็นข้อเสนอของผู้รับเหมาบางรายที่ให้พิจารณาเกณฑ์ข้อเสนอด้านเทคนิคควบคู่กับเกณฑ์ราคา จากเดิมที่แยกพิจารณาข้อเสนอแต่ละด้าน ขณะที่ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ฉบับใหม่ ไม่ได้กำหนดว่าทำได้หรือไม่ได้ จึงต้องเป็นการใช้ดุลยพินิจของคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ ในการพิจารณาว่าจะยินยอมปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ทีโออาร์ ตามข้อเสนอของบริษัทผู้รับเหมาบางรายนั้นทำได้หรือไม่
และหากทำได้จะมีกฎหมายใดมารองรับ รวมทั้งเหตุผลที่ต้องใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าว เพราะผู้ซื้อเอกสารรายอื่นอาจยื่นข้อเสนอ ให้ยึดเงื่อนไขทีโออาร์เดิม ดังนั้น ที่ประชุมจะต้องหาข้อสรุปให้ได้ แต่กลับปรากฎว่ามีเอกสารเงื่อนไขของทางรฟม. ว่าด้วยการปรับเปลี่ยนข้อการพิจารณาเงื่อนไขการประมูลใหม่ออกมาล่วงหน้า พร้อมกำหนดรายละเอียดพร้อมสรรพ เสมือนหนึ่งมีการตกลงไว้ล่วงหน้า จะมีการดำเนินการตามข้อร้องเรียนของบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายดังกล่าว
โดยมีรายงานข่าวว่า ก่อนหน้านั้น นายณัฐศักดิ์ ชัยชนะ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) ได้เป็นตัวแทนเข้ายื่นหนังสือให้กับ นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ที่มีนายกิตติกร ตันเปาว์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ รฟม. และรักษาการรองผู้ว่าการ รฟม. (วิศวกรรมและก่อสร้าง) เป็นประธานคณะกรรมการ
นายณัฐศักดิ์ กล่าวว่า การเข้ายื่นหนังสือดังกล่าว เนื่องจากได้รับทราบข่าวว่ามีผู้ยื่นซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มบางราย ได้ทำหนังสือขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขประมูล ซึ่งบีทีเอส ในฐานะเป็นผู้ซื้อซองประมูลด้วยเช่นกัน จึงไม่เห็นด้วยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการประมูลภายหลังที่มีการดำเนินการตกลงเงื่อนไขกับฝ่ายเอกชนไปแล้ว จึงได้มายื่นหนังสือเพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านแนวการทำงานของ รฟม.
ทั้งนี้หากการพิจารณาของคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 มีมติการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหลักเกณฑ์การประมูลจริง ทางบริษัทคงต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการใดต่อไป เพราะมีผู้ซื้อซองหลายรายในโครงการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งย่อมได้รับผลกระทบในการเปลี่ยนแปลงในลักษณะดังกล่าวด้วยเช่นกัน
สำหรับรายละเอียดของหนังสือของบีทีเอส ระบุว่า ด้วยได้ทราบข่าวว่ามีผู้ซื้อเอกสารข้อเสนอการร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี รายหนึ่งได้ทำหนังสือเพื่อให้มีการพิจารณาปรับเปลี่ยนการประเมินและเปรียบเทียบ ข้อเสนอเกี่ยวกับผู้ที่จะได้รับการประเมินให้เป็นผู้ชนะการคัดเลือก โดยเสนอว่าไม่ควรพิจารณาให้ผู้ที่เสนอผลประโยชน์ทางการเงินสูงสุดเป็นผู้ชนะการคัดเลือก แต่ควรพิจารณาปัจจัยและผลประโยชน์อื่นๆ เช่น ข้อเสนอด้านเทคนิคร่วมด้วย จึงใคร่ขอเรียนถามรฟม.ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เนื่องจากหากเป็นความจริง บริษัทฯ เห็นว่าถ้ามีการปรับเปลี่ยนวิธีการประเมินข้อเสนอดังกล่าว จะถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นสาระสำคัญ และไม่เคยมีการดำเนินการในลักษณะนี้กับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างรัฐและภาคเอกชนมาก่อน
นอกจากนี้ บริษัทเห็นว่าผู้ที่จะเข้ายื่นข้อเสนอในโครงการนี้ได้ จะต้องผ่านเกณฑ์ด้านต่างๆ ของรฟม. ซึ่งจะต้องเป็นบริษัทหรือกลุ่มบริษัทที่มีศักยภาพและความเป็นไปได้ในการดำเนินงานสูง ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทที่ผ่านเกณฑ์จะไม่ทำตามข้อเสนอที่ได้ยื่นต่อรฟม. อีกทั้งบริษัทที่ยื่นข้อเสนอยังต้องมีภาระรับผิดชอบค้ำประกันต่อ รฟม. ด้วย
ที่สำคัญการพิจารณาผู้ขนะการคัดเลือกโดยใข้ข้อเสนอทางเทคนิค ทั้งๆ ที่ได้มีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาผู้ชนะการคัดเลือกมาแล้ว จะเป็นช่องทางที่ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่เป็นธรรม หรืออาจเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ การพิจารณาผู้เสนอผลประโยชน์ทางการเงินสูงสุดให้กับรัฐให้เป็นผู้ชนะการประมูล จึงจะเป็นการก่อประโยชน์สูงสุดแก่รัฐโดยแท้ และมีความโปร่งใสเป็นธรรมมากที่สุด บริษัทฯ จึงเห็นว่าเป็นการไม่สมควรถ้าหากจะมีการปรับแก้วิธีการการประเมินข้อเสนอดังกล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเห็นว่า แม้การร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ในครั้งนี้ จะมิใช่การจัดซื้อจัดจ้างกับหน่วยงานภาครัฐ แต่การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการในข้อเท็จจริงข้างต้น เทียบเคียงได้ว่าเป็นการอุทธรณ์ ซึ่งแม้ไม่ได้มีการกำหนดไว้ในกฎหมายร่วมลงทุนก็ตาม แต่คณะกรรมการคัดเลือก ควรต้องนำกฎกระทรวงการคลัง กำหนดเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างกับหน่วยงานของรัฐที่ใช้สิทธิอุทธรณ์ไม่ได้ พ.ศ.2560 มาใช้บังคับโดยอนุโลม เนื่องด้วยถือเป็นการอุทธรณ์ที่ไม่สามารถกระทำได้ตามเงื่อนไขกฎหมาย