https://www.natethip.com/news.php?id=9973
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=9973
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=9968
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=9967
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://linevoom.line.me/post/_dRwLP9ryDNNCNElq786ZFgDnUlb3FkZ4wdgFcto/1174597541807147674?
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=9966
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
พิมพ์ไทยออนไลน์//กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำโดย นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจาก World Poker Tour (WPT) และบริษัท Thailand RF Tourism and Sports Competition Club จำกัด (RF Club) เพื่อหารือแนวทางการจัด “กิจกรรมสาธิตกีฬา Texas Hold’em” ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก การหารือดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนนโยบาย “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” ซึ่งมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยใช้กีฬาและกิจกรรม Soft Power เป็นกลไกหลักในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและเสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในระดับนานาชาตินายสรวงศ์ เทียนทอง กล่าวภายหลังการหารือว่า กีฬา Texas Hold’em เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะการวิเคราะห์ วางแผน และบริหารความเสี่ยง ซึ่งแตกต่างจากการพนันทั่วไป พร้อมย้ำว่า “เรามองว่า Texas Hold’em เป็นกีฬาเชิงกลยุทธ์ที่สามารถเสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศ และสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากได้รับการบริหารจัดการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
ทั้งนี้ คาดว่าการจัดกิจกรรมสาธิตกีฬา Texas Hold’em จะมีนักกีฬาและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศรวมกว่า 1,000 ล้านบาท และสามารถสร้างการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้ไม่น้อยกว่า 1,500 ตำแหน่ง ทั้งในสายงานผู้ตัดสิน, งานถ่ายทอดสด และงานบริการแปลภาษา
ในการหารือครั้งนี้ นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) กล่าวว่า “การสนับสนุนการจัดกิจกรรมเชิงกลยุทธ์เช่นนี้ เป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ของไทย และช่วยขยายขีดความสามารถของประเทศในเวทีโลก” พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการกำกับดูแลกิจกรรมให้อยู่ในกรอบกฎหมายที่เหมาะสม
ด้าน น.ส.เคต้า โอโซลินา รองประธานฝ่าย Global Tour Management ของ WPT กล่าวว่า WPT มีความตั้งใจนำเสนอภาพลักษณ์ของ Texas Hold’em ในฐานะกีฬาเชิงทักษะที่ได้รับความนิยมในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก และเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมระดับนานาชาติในอนาคต
ขณะที่ นายหลี่อี๋ ซู่ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท RF Club เปิดเผยว่า กิจกรรมสาธิตในครั้งนี้ จะมีการถ่ายทอดสดผ่านช่องทางหลัก เช่น ESPN, EURO Sports และ FOX เพื่อเผยแพร่ไปยังผู้ชมทั่วโลก สร้างการรับรู้และเสริมศักยภาพแบรนด์ประเทศไทยในระดับสากล
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีแผนแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาข้อกฎหมาย และสถานที่จัดกิจกรรมสาธิต จะประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการในโอกาสต่อไป :Cr;มณสิการ รามจันทร์
พิมพ์ไทยออนไลน์//คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขอเชิญผู้สนใจ ร่วมงานสัมมนาสุดพิเศษ i-Forum “ผู้นําการปฏิวัติ 4IR: ถอดบทเรียนสําคัญจาก WEF Global Lighthouse Network” ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 เวลา 12.15 น. เป็นต้นไป ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ โดยได้รับเกียรติจาก ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกที่จะมาแบ่งปันองค์ความรู้ และร่วมเสวนาดร. ไสว เชื้อสาวะถี Vice President & Managing Director, HDD Operations, Prachinburi บริษัท Western Digital Storage Technologies (Thailand) ที่จะมาร่วมเสวนา ในห้วข้อ เส้นทางสู่การเป็น Light House Fectory การนำเทคโนโลยี 4IR และ 5IR มาปรับปรุงโรงงานและผลลัพธ์ที่ได้ รวมถึงบทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้
คุณท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd. ซึ่งเป็นธุรกิจ Blockchain (บล็อกเชน) และกลุ่มสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
ที่จะมาอัฟเดทเทรนด์โลกดิจิทัลล่าสุด ในหัวข้อ “บทบาทสําคัญของเทคโนโลยีดิจิทัล ในการพลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยและภูมิภาคอาเซียน” และจะมาแบ่งปัน Insight ล่าสุดจากการประชุม World Economic Forum 2025 ที่ครอบคลุมเรื่องเทคโนโลยี บล็อกเชน และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งจะมาเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจและอุตสาหกรรมคุณสรร เลาหกุลวุฒิ Senior Director Industrial Automation Delta Erectornics (Thailand) PCL.ที่จะมาร่วมเสวนาในห้วข้อ การก้าวสู่อุตสาหกรรม Electronics ด้วยเทคโนโลยี Automation ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ IoT จากเดลต้า เพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิตัลและธุรกิจที่ยั่งยืน
คุณณชา เอื้อกูลเกียรติ Director Manufacturing Business Unit , Kenvue Thailand ที่จะมาเสวนาในห้อข้อ เส้นทางสู่การเป็น Global Sustainability Light House ถ่ายทอดบทเรียนสำคัญในการนำเทคโนโลยี 4IR มาใช้ในองค์กรอย่างมีประสิทธิผล
คุณอิทธิโชติ ดำรงรักษ์ธรรม Director,Investment Strategy and Policy Division สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ( BOI )
หัวข้อที่น่าสนใจในงานสัมมนา:
• แบ่งปันองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลก
• เจาะลึกเทคโนโลยี 4IR เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน
• ตัวอย่างกรณีศึกษาความสําเร็จจากโรงงาน Lighthouse และ การปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง (Kaizen)
• อภิปรายเกี่ยวกับความท้าทายและกลยุทธ์สําหรับการเปลี่ยนผ่านจาก 4IR สู่ 5IR
งานสัมมนานี้เหมาะสําหรับผู้ที่สนใจด้านการผลิต อุตสาหกรรมเทคโนโลยี การจัดการ และทุกท่านที่มุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรให้ก้าวทันยุคดิจิทัลและการผลิตที่ยั่งยืน รวมไปถึง จะมองเห็นถึงกลยุทธ์การก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง อีกทั้งการ Up skill สำหรับ Engineer หรือ Technician ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และ Future of Job อีกด้วย
ผู้สนใจ เข้าร่วมสัมมนา 4IR Leader – iForum สามารถ ลงทะเบียน ผ่านทาง
https://forms.office.com/r/paxR6LbaRQ
:Cr;มณสิการ รามจันทร์
พิมพ์ไทยออนไลน์//นายเชาว์เลิศ ลีลาศวัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัคกี้เฟลม จำกัด กล่าวถึงสภาพตลาดและการเติบโตของตลาดเตาแก๊สและเตาไฟฟ้าที่ใช้ในครัวเรือนว่า ในปีที่ผ่านมา (2567) การเติบโตของตลาด ในเชิงคุณภาพถือว่ายังเติบโต โดยลูกค้ากลุ่มนี้เป็นระดับกลางถึงสูง (Middle to High-End) ซึ่งยังมีความสามารถในการจับจ่ายที่ดี แต่มีความต้องการสินค้าที่สอดคล้องกับพฤติกรรมในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบดีไซน์ที่มีความโดดเด่น มีนวัตกรรม เทคโนโลยีและฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย ซึ่งเมื่อผนวกกับประสิทธิภาพการใช้งานที่เหมาะกับลักษณะของครัวไทยและจุดแข็งด้านความปลอดภัยสูงแล้ว ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ ลัคกี้เฟลม ในกลุ่มนี้เติบโตได้ดีตามไปด้วย
ปัจจุบัน ลัคกี้เฟลม มีผลิตภัณฑ์อยู่ในตลาดกว่า 500 SKUs ใน 8 กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย กลุ่มเตาแก๊สและเตาไฟฟ้า กลุ่มเครื่องดูดควัน กลุ่มเตาอบ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เครื่องทำน้ำอุ่น กลุ่มอ่างล้างจานและก็อกน้ำ กลุ่มอุปกรณ์แก๊ส รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจร้านอาหาร โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเตาแก๊ส เตาไฟฟ้า อันดับหนึ่งของประเทศและเป็นผู้ผลิตเตาแก๊สอันดับต้นของอาเซียน มีสัดส่วนการขายในประเทศอยู่ที่ 80% ครองส่วนแบ่งตลาดเตาแก๊สในประเทศประมาณ 20% จากมูลค่าตลาดรวมประมาณ 3,500 ล้านบาท และส่งออกตลาดต่างประเทศมีสัดส่วนประมาณ 20% โดยตลาดหลัก คือ เวียดนาม พม่า อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และเยอรมันนี ส่วนผลกระทบจากมาตรการด้านภาษีของสหรัฐอเมริกานั้น แม้สหรัฐฯ จะไม่ใช่ตลาดส่งออกหลักโดยตรง แต่ก็ได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงมีการเตรียมพร้อมในการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อรองรับกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการจับมือกับพันธมิตรใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในภูมิภาคต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงในเชิงกลยุทธ์
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 นั้น ถือเป็นความท้าทายและเป็นก้าวใหม่สำคัญของ ลัคกี้เฟลม ที่ดำเนินธุรกิจมาถึง 50 ปี วันนี้การเดินหน้าธุรกิจต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกับโลกที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับ ลัคกี้เฟลม ที่มีเป้าหมายในการเป็นแบรนด์ไทยที่มีศักยภาพระดับสากล ขยายตลาดในอาเซียน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์โลกอนาคต ภายใต้การดำเนินงานที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการติดตั้งโซลาเซลล์ 600 กิโลวัตต์ ทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1,500 ตัน รวมถึงกระบวนการบำบัดน้ำและอากาศจากการผลิต ทำให้ทางบริษัทฯ ได้รับการรับรองจากกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็น อุตสาหกรรมสีเขียว นอกจากนั้นยังมีการดำเนินนโยบายด้าน Circular Economy ทำการศึกษาและพัฒนาการนำเศษวัสดุจากการผลิต มาผลิตเป็นชิ้นส่วนใหม่ที่นำไปใช้ต่อได้ตามหลัก Upcycling ทำให้ลดต้นทุน ลดของเสียที่ทำให้เกิดขยะและใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า รวมถึงยังมีการลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้แขนกลในกระบวนการ Die Casting การใช้ระบบ IT, ในการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิต ฯลฯ
แนวทางดังกล่าวส่งผลถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีทั้งกับผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อมไปควบคู่กัน ซึ่งลัคกี้เฟลม เป็นผู้ผลิตเตาแก๊สรายแรกที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ มอก. ทั้งในด้านความปลอดภัย และ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำกว่า 1,000 PPM. จากการพัฒนาเตาแก๊สให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ใช้พลังงานได้คุ้มค่า และแม้จะไม่มีการประกาศบังคับใช้ มอก. แต่ลัคกี้เฟลมเล็งเห็นถึงความสำคัญเรื่องความปลอดภัยสูงสุด จึงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพเพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง รวมถึง การพัฒนาให้เตาแก๊ส ลัคกี้เฟลม ประหยัดแก๊สได้มากถึง 30% เมื่อเทียบกับเตาแก๊สทั่วไปจนได้รับฉลากประหยัดพลังงานและมีประสิทธิภาพสูงจากกระทรวงพลังงาน
ส่วนด้านการตลาดนั้น ลัคกี้เฟลม จะยังคงรักษาฐานในกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ Mass Market พร้อมกับให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าในเมืองและคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ประเภท Built-in และสินค้าสำหรับผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม ที่ต้องการความสะดวก ปลอดภัยและเหมาะสมกับพื้นที่จำกัด (Smart Function & Safety Innovation) ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจสำหรับปี 2568 นั้น ประกอบด้วย Nexus ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวอัจฉริยะ (Smart Kitchen Appliances) ที่ประกอบด้วยเครื่องดูดควัน (Smart Hood) และเตาแก๊ซแบบฝัง (Smart Built-in Gas Hob)
ผู้สนใจข้อมูลบริษัทและผลิตภัณฑ์ของลัคกี้เฟลมสามารถหารายละเอียดได้ที่ https://www.luckyflame.co.th/ หรือ โทร 02-312-4330-40 :Cr;มณสิการ รามจันทร์
กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ชี้แจง นโยบายการนำสมุนไพรไทยมาใช้ทดแทนยา แผนปัจจุบัน เป็นการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในโรงพยาบาล ดำเนินการตามความสมัครใจ เพื่อสร้างระบบสาธารณสุข ที่แข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว และเป็นการขับเคลื่อนภูมิปัญญาไทยสู่ระดับสากล
นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า จากข้อมูลปีงบประมาณ 2567 พบว่า มูลค่าการใช้ยาแผนปัจจุบันในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐรวมทั้งสิ้น 70,543 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นยาสมุนไพร 1,560 ล้านบาท คิดเป็น 2.21% จากข้อมูลดังกล่าว นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงมีนโยบายสนับสนุนให้มีการใช้ยาสมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ ภายใต้นโยบาย “เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทยก่อนไปหาหมอ” กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงได้ส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรในสถานพยาบาลของรัฐเพิ่มมากขึ้น โดยสนับสนุนให้แพทย์และเภสัชกรจ่ายยาสมุนไพรเพิ่มขึ้นใน 10 กลุ่มโรคที่พบบ่อย เป็นยาสมุนไพร 32 รายการ ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพรที่ใช้บ่อย มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมมือกับกรมการแพทย์ จัดทำคู่มือการใช้ยาสมุนไพรใน 10 กลุ่มโรคข้างต้น (CPG) เพื่อใช้ยาสมุนไพรอย่างถูกต้องและปลอดภัย
การส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรทดแทนยาแผนปัจจุบัน เป็นการดำเนินการตามความสมัครใจของโรงพยาบาล แต่ละแห่ง ไม่ใช่นโยบายบังคับแต่อย่างใด โดยโรงพยาบาลแต่ละแห่งมีขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกยาสมุนไพรอย่างรอบคอบผ่านคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด (PTC) ของแต่ละโรงพยาบาล สำหรับยาสมุนไพรที่นำมาใช้ทดแทน ได้แก่ ยาครีมไพล ใช้แทนยานวด กลุ่ม Analgesic balm สำหรับบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ยาแก้ไอมะขามป้อม หรือ ยาประสะมะแว้ง ใช้ทดแทนยาแก้ไอ M.tussis เพื่อบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ และยามะขามแขก ใช้ทดแทนยาระบาย บิซาโคดิล (Bisacodyl) สำหรับอาการท้องผูก แต่ยังมียาแผนปัจจุบันตัวอื่น สามารถเลือกใช้แทนยาแผนปัจจุบันที่ถูกคัดออก จากโรงพยาบาลได้ เช่น ยา diclofenac gel ในกลุ่มอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ยา Ambroxol หรือ Bromhexine ในกลุ่มยาแก้ไอ ละลายเสมหะ ยา lactulose หรือ Milk of Magnesia ในกลุ่มยาระบาย ซึ่งไม่กระทบต่อการรักษาผู้ป่วย ของแพทย์แผนปัจจุบันที่ไม่ประสงค์ใช้ยาสมุนไพร
นอกจากนี้ มีการบูรณาการร่วมกันระหว่างแพทย์ปัจจุบันและแพทย์แผนไทย โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ดำเนินการศึกษา วิจัย ร่วมกับ กรมการแพทย์ และราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย เพื่อคัดเลือกยาสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพในการรักษาให้กับผู้ป่วยแต่ละกลุ่มอาการโรคเพิ่มเติมจาก 10 กลุ่มอาการเดิม ในการสร้างข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้ยาสมุนไพร
นายแพทย์สมฤกษ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ขอเชิญชวนบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชน หันมาใช้ยาสมุนไพร เพื่อสนับสนุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ส่งเสริมการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพ และส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสมุนไพรของประเทศทั้งระบบ.