พิมพ์ไทนออนไลน์ // “ผู้ปกครอง-ทนายรณณรงค์” ร้องอัยการช่วยคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายโรงเรียนสารสาสน์ฯ โรงเรียนรับผิดชอบส่งจิตแพทย์ฟื้นฟูจิตใจเด็ก
วันที่ 5 ต.ค. 63 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมกลุ่มผู้ปกครองเด็กนักเรียนที่ถูกกระทำความรุนแรงในโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ เดินทางมายื่นเรื่องต่อสำนักงานอัยการสูงสุด ขอให้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและฟ้องร้องคดีแพ่งต่อโรงเรียนสารสาสน์วิเทศน์ราชพฤกษ์ ตลอดจนผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง และขอให้ติดตามในส่วนของคดีอาญาไม่ให้เกิดการแทรกแซงในคดี เนื่องจากเกี่ยวข้องเครือธุรกิจมูลค่าหลายพันล้าน โดยมีนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้แทนรับเรื่อง
นายประยุทธ กล่าวว่า ทางผู้ปกครองและทนายได้นำหนังสือมายื่นเพื่อให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการหลายเรื่อง ขอให้ดำเนินการ คือกระบวนการคุ้มครองลูกหลานเราที่ตกเป็นเหยื่อในเรื่องที่เกิดขึ้น รวมทั้งการคุ้มครองค่าเสียหายที่ผู้ปกครองพึงได้รับ ไม่ว่าจากผู้กระทำหรือทางโรงเรียน อัยการสูงสุดได้สั่งการด่วนไปยังพนักงานอัยการพื้นทีที่เกิดเหตุ เพราะลูกหลานที่ตกเป็นเหยื่อต้องเข้าไปให้ถ้อยคำกับพนักงานสอบสวน ซึ่งตามกฎหมาย กระบวนการให้ถ้อยคำต้องมีพนักงานอัยการร่วมด้วยกับสหวิชาชีพและพนักงานสอบสวน ในการคุ้มครองดูแลสิทธิลูกหลาน ถือเป็นหลักสากลที่เด็กเยาวชนมีค่าที่สุดที่เราต้องช่วยกันคุ้มครองดูแล
นายประยุทธ กล่าวต่อไปว่า ภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้สะเทือนใจเฉพาะผู้ปกครอง ครอบครัว เด็กและเยาวชน แต่เป็นความสะเทือนใจของทั้งประเทศและทั่วโลก การคุ้มครองสิทธิเด็กเป็นภารกิจร่วมกันของคนทั้งโลก โดยตนจะนำหนังสือร้องเรียนดังกล่าวเสนอให้อัยการสูงสุดเพื่อสั่งดำเนินการ โดยทางอัยการสูงสุดจะทำงานเชิงรุก จึงอยากขอให้ผู้ปกครองและสังคมสบายใจ สำนักงานอัยการสูงสุดลงไปดูแลลูกหลานตั้งแต่เกิดเรื่องโดยทันที ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่เข้มข้น จะต้องไม่เกิดเรื่องอย่างนี้กับลูกหลานเราอีก ทุกภาคส่วนต้องดูแลลูกหลานของเรา
ด้านกลุ่มผู้ปกครองเด็กนักเรียน น.ส.พิมรดา รัตนถาวรกิติ แม่น้องวิน วัย 2 ขวบที่ถูกครูอิงนำถุงขยะสีดำมาครอบศรีษะในอยู่ในชั้นเนอสเซอร์รี่ เปิดเผยว่า ทนายได้ประสานกลุ่มผู้ปกครองให้เข้ามายื่นเรื่องร้องเรียนทางแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายและเรียกร้องความเป็นธรรมจากโรงเรียน โดยกรณีของน้องวิน จากกล้องวงจรปิดในชั้นเรียนพบว่า ครูได้กระทำการดังกล่าว และยังกระชากตัวน้องวินไปหลังห้องเรียนและนำมืออุดปาก อุดจมูก และที่หนักกว่านั้นคือ การจับตัวน้องวินให้ลงไปอยู่ในถังขยะพร้อมข่มขู่ให้หยุดร้องให้ เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดย้อนหลังและเห็นพฤติกรรมของครูคนดังกล่าวยิ่งเจอเรื่องที่รับไม่ได้ ตนจะไม่ขอยอมความกับครูและโรงเรียน
จากการสังเกตพฤติกรรมของน้อง ทางร่ายกายแม้จะไม่มีความผิดปกติมาก บางครั้งมีแค่รอบเขียวช้ำก็คิดว่า เด็กเล่นกันแล้วกระทบกระทั่ง จึงไม่ได้สงสัยอะไร แต่ถ้าด้านจิตใจไม่ทราบจะกระทบกระเทือนอะไรหรือไม่ กลัวจะส่งผลถึงอนาคต โดยเฉพาะเป็นภาพจำของเขา เพราะลูกถูกกระทำอย่างรุนแรงมาก และเชื่อว่า เขาน่าจะถูกกระทำมาหลายเดือนแล้ว แค่ดูภาพจากกล้องวงจรปิดเพียง 3 วัน ยังพบว่าลูกถูกกระทำขนาดนี้ แต่ก่อนหน้านั้นก็ไม่รู้ว่าลูกโดนอะไร กลางคืนก็มีนอนร้องให้ นอนผวา บางครั้งลูกก็มีอารมณ์เกรี้ยวกราด ก็ยังคิดว่าอาจจะเป็นวัยของเขา
ด้าน นายณรงค์ปกรณ์ อินไชยย์ทอง บิดาน้องเทมส์ เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ปกครองมาขอความเป็นธรรมให้กับบุตรของตัวเอง ในส่วนของน้องเทมส์ จากการตรวจสอบภาพจากล้องวงจรปิดย้อนหลังพบว่าลูกชายถูกทำร้ายถึง 17 ครั้ง จึงขอฝากความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากอัยการ
ส่วน นายชาญวิทย์ น้อยสุขยิ่ง บิดาน้องเสือ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีทำร้ายร่างกายพี่เลี้ยงจุ๋มว่า ตนไม่มีเจตนาจะทำร้ายร่างกาย แต่เกิดจากบันดาลโทสะที่เห็นลูกชายถูกทำร้าย พร้อมรับผิดชอบตามกฎหมายและเสียค่าปรับทุกประการ ตนยอมรับผิดว่าเราผิด และเป็นสิทธิของพี่เลี้ยงจุ๋มที่จะเข้าแจ้งความ
ส่วนกรณีที่พี่เลี้ยงจุ๋มออกมาขอโทษโดยระบุมีความเครียดจากปัญหาทางครอบครัวนั้น นายชาญวิทย์ กล่าวว่า หากสำนึกผิดจริงๆ ก็ควรจะเข้าพบผู้ปกครองทุกคนเพื่อมาขอโทษต่อหน้า ไม่ใช่ขอโทษผ่านสื่อ เป็นการแสดงความจริงใจให้ชัดเจน เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วจะไปย้อนเรื่องราวกลับมาไม่ได้ และการให้อภัยเป็นทางออกที่ดีที่สุด
นายชาญวิทย์ กล่าวถึงกรณีที่โรงเรียนในเครือสารสาสน์ ตั้งทนายมาดำเนินการดูแลเรื่องคดีว่า ด้านกฎหมายถือว่ามีความผิด เพราะมีหลักฐานปรากฏในกล้องวงจรปิดชัดเจน ไม่ว่าจะตั้งทนายมากี่คนเพื่อสู้คดีก็เป็นสิทธิของทางโรงเรียน แต่ความจริงก็คือความจริง ส่วนเรื่องการฟ้องร้องทางเพ่ง กลุ่มผู้ปกครองทั้งหมดยังไม่ได้คุยได้ ว่าแต่ละคนต้องการอะไรบ้าง ต้องการเรียกร้องค่าเสียหายเท่าไหร่ ขอแค่โรงเรียนออกมารับผิดชอบก่อนดีกว่า โดยเฉพาะการดูแลด้านจิตใจของเด็กๆ เพราะเด็กหลายคนเริ่มมีอาการ กังวล หวาดผวา และมีปัญหาการเข้าสังคม จึงอยากให้จิตแพทย์เข้ามาช่วยดูแล จากการปรึกษาจิตแพทย์เบื้องต้นการฟื้นฟูจิตใจของของเด็กๆ ต้องใช้เวลานานถึง 10 ปี เพราะภาพความทรงจำที่ถูกกระทำรุนแรงจะฝังอยู่ที่สมองด้านหลังยาวนาน เงินเท่าไหร่ก็รักษาไม่ได้ ตนไม่อยากได้เงิน แต่อยากได้ลูกคนเดิมคืนกลับมามากกว่า
ขณะที่ นายรณณรงค์ ทนายความ กล่าวว่า หากผู้ปกครองคนใดถูกโรงเรียนฟ้องดำเนินคดี ให้แจ้งมายังตนหรือทางอัยการ ซึ่งพร้อมจะให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายเต็มที่
Cr.: นายทวีศักดิ์ ชิตทัพ ผูิสื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์