วันอาทิตย์, มีนาคม 9, 2025

หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยออนไลน์

หน้าแรกประชาสัมพันธ์เปิดใจ อำไพ สงค์สุข คุณแม่ใจพระ เมตตาต่อสังคมและสัตว์โลก

เปิดใจ อำไพ สงค์สุข คุณแม่ใจพระ เมตตาต่อสังคมและสัตว์โลก

เปิดใจ อำไพร สงค์สุข คุณแม่ใจพระ เมตตาต่อสังคมและสัตว์โลก

สมาคมสื่อสร้างสรรค์เพื่อสังคม ได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนส่งเสริมบุคคล องค์กรภาครัฐ และเอกชนในการดำเนินกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อสังคม และเป็นกำลังใจให้กับผู้สร้างคุณงามความดีให้กับสังคม โดยไม่หวังผลตอบแทน เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุขร่มเย็น

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ที่สโมสรทหารบก ห้องเทวกรรมรังรักษ์ ถ.วิภาวดีรังสิต เขตพญาไท กรุงเทพฯ พล.อ.กิตติ รัตนฉายา และ พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ ร่วมเป็นประธานในพิธีมอบโล่ประกาศกิตติคุณ “คนดีของแผ่นดิน” ประจำปี 2567 ได้มีครอบครัว “สงค์สุข” รับโล่ประกาศกิตติคุณ คนดีของแผ่นดิน อาทิ นายนิมิต สงค์สุข, น.ส.นริศรา สงค์สุข รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อวิน โดยเฉพาะชื่อ อำไพ สงค์สุข ถือว่าเป็นแกนนำหลักในการสร้างคุณงามความดีให้กับสังคม โดยผ่านครอบครัว “สงค์สุข”

หากย้อนอดีต อำไพ สงค์สุข ถือกำเนิดในพื้นที่ ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี คุณพ่อเป็นพนักงานของโรงไม้พานทอง ตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี และเมื่อโรงไม้พานทองได้รับสัมปทานป่าไม้ในพื้นที่ ต.บ่อวิน ซึ่งในสมัยนั้นพื้นที่ อ.ศรีราชายังมีป่าไม้หนาแน่น จึงได้เข้ามาถากถางป่า เพื่อนำไปแปรรูปจำหน่าย โดยมีคุณพ่อของอำไพร สงค์สุข เป็นหัวหน้า จนกระทั่งได้ถางป่าจนหมดสัมปทาน หลังจากนั้นได้มีคนงานเข้ามาอยู่อาศัย และได้แบ่งการยึดครองพื้นที่ตามกำลังแต่ละคน

ช่วงนั้นบ้านเมืองยังไม่เจริญ การอยู่ในป่าเขาจะต้องระแวดระวังภัยกันเอง และต้องอาศัยรวมตัวเป็นกลุ่ม เพื่อป้องกันโจรป่าที่จะเข้าแย่งชิง-ปล้นทรัพย์สินเงินทอง ต่อมาบ้านเมืองพัฒนามากขึ้น การครอบครองที่ดินสมัยคุณพ่อของ อำไพ สงค์สุข มีพื้นที่จำนวน 16 ไร่เท่านั้น ต่อมาคนงานที่อาศัยอยู่ด้วยกัน บางคนก็โยกย้ายไปทำงานในพื้นที่อื่นๆ จึงเอาที่ดินที่ครอบครองไว้มาขายให้ จากที่ดินมีเพียงน้อยนิด จนกระทั่งกลายเป็น 100 กว่าไร่ ต่อมาจึงได้มีการขยายกิจการกว้านที่ดินเพิ่มเติมไปทั่วประเทศ ปัจจุบันมีประมาณ 700 กว่าไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่จะปลูกต้นปาล์ม มะพร้าว และยางพารา ส่วนพื้นที่ที่มีความเจริญก็จะทำเป็นตลาดในชุมชน ทำให้มีรายได้หลักในการเลี้ยงครอบครัว

หากกล่าวถึงการศึกษาของ อำไพ สงค์สุข ยอมรับว่ามีการศึกษาน้อยมาก เนื่องจากอดีตบ้านเมืองยังไม่พัฒนา ไม่มีโรงเรียนมากเหมือนสมัยปัจจุบัน จึงต้องไปอาศัยบ้านญาติเพื่อเรียนหนังสือ ทำให้ชีวิตห่างไกลครอบครัว การศึกษาเริ่มที่วัดตะเคียนเตี้ย อ.บางละมุง โรงเรียนวัดเวฬุวนาราม และจบเพียงชั้นประถมปีที่ 6 จากการศึกษานอกโรงเรียนเท่านั้น แต่ด้วยใจรักและใฝ่ใจทางด้านการศึกษา จึงได้ศึกษาหาความรู้ด้วยการอ่าน นอกจากนี้ยังได้ศึกษาธรรมะจากหนังสือ โดยเฉพาะพระไตรปิฎกอ่านหมดทุกเล่ม ส่งผลทำให้มีจิตใจที่ดีงาม เห็นความทุกข์ของสังคม หากมีโอกาสก็จะเข้าไปช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก แม้กระทั่งสัตว์ที่จะเข้าโรงเชือด อาทิ วัว ควาย ห่าน ก็ได้ช่วยเหลือชีวิตไว้อย่างมากมายเช่นกัน

ส่วนชีวิตสมรสนั้นได้พบรักช่วงอายุ 16 ปี และแต่งงานอายุ 18 ปีกับ นิมิต สงค์สุข ซึ่งเป็นเพื่อนกับพี่ชาย อำไพ สงค์สุข และมาทำงานให้กับครอบครัว “สงค์สุข” ปัจจุบันมีบุตรชาย-หญิงทั้งหมด 3 คน และยังครอบคู่กันอยู่ในขณะนี้

ชีวิต อำไพ สงค์สุข เป็นคนมัธยัสถ์และอดออม ใช้ชีวิตแบบสมถะ ทำให้มีชีวิตอยู่สุขสบาย ด้วยจิตใจที่มีเมตตา เมื่อเห็นเพื่อนมนุษย์ตกทุกข์ได้ยากต้องเข้าไปช่วยเหลือ อาทิ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใน จ.แม่ฮ่องสอน ประสบภัยหนาวเย็น ก็ต้องหอบเสื้อกันหนาว ผ้าห่มขึ้นไปช่วยเหลือ แม้จะต้องขับรถไต่เขาก็ต้องขึ้นไป โดยไม่หวั่นในเรื่องของการประสบอุบัติเหตุ

การช่วยเหลือวัว ควาย ห่าน ก็เช่นกัน บางครั้งเห็นรถบรรทุกวัว ควาย วิ่งผ่านไป ขณะขับรถก็ต้องรีบขับรถไปขวาง พร้อมทั้งลงจากรถไปสอบถาม หากนำไปโรงเชือดจะขอไถ่ถอนชีวิตทันที หลังจากนั้นจะนำมาเลี้ยงในพื้นที่ของตนเอง ขณะนี้มีควายจะต้องเลี้ยงดู 28 ตัว วัว 40 ตัว ห่านประมาณ 100 ตัว ค่าอาหารไม่ต้องพูดถึง ยามแล้งๆ ไม่มีหญ้าให้วัวควายกิน ก็ต้องเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดตกเดือนละไม่น้อยกว่า 1 แสนบาท ยังไม่รวมคนงานที่คอยเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีสุนัขจรจัดประมาณ 200 ตัว

ทางด้านการทำบุญนั้น ถือได้ว่า อำไพ สงค์สุข เป็นผู้หนึ่งในการทำนุบำรุงพระศาสนาอย่างดีเยี่ยม ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า บางคราวทำบุญถึงครั้งละกว่า 1 ล้านบาท นอกจากนี้ยังยกที่ดินให้ทางวัดป่าศรัทธาคุณนิมิต ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีการบริจาคที่ดินกว่า 10 ไร่ ในการสร้างวัด กุฎิพระ และเมรุเผาศพพร้อมศาลาข้างเมรุ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

อำไพ สงค์สุข กล่าวถึงกลยุทธ์ในการดึงชาวบ้านเข้ามายึดมั่นในพระธรรมคำสั่งสอน โดยกล่าวว่า “ยอมเสียข้าวสาร อาหารกระป๋อง แจกให้กับชาวบ้านเพื่อจูงใจให้มาฟังเทศน์ ฟังธรรม โดยมีแนวคิดที่ว่า หากคน 100 คน มาฟังเทศน์ฟังธรรม และสามารถเป็นคนดีในสังคม 2-5 คนถือว่าได้บุญ และสร้างคนดีมีศีลธรรมเข้ามาอยู่ในสังคม ซึ่งคนเหล่านี้เมื่อทำดีแล้วก็จะสอนให้บุตรหลานเป็นคนดีของสังคม ผลประโยชน์ที่ตามมาก็คือประเทศชาติ จะได้มีคนดีเข้ามาปกครองบ้านเมือง”

“ชีวิตที่เหลือทุกวันนี้หากมีโอกาส จะพยายามรับใช้สังคม พร้อมทั้งสนับสนุนคนดีๆ ให้อยู่ได้ในสังคมที่สับสนวุ่นวายการทำดีทุกวันนี้ไม่ได้หวังประโยชน์อะไร เพราะทุกอย่างที่มีอยู่ในขณะนี้ พอใจแล้ว การที่ได้รับการประกาศกิตติคุณรับโล่ในครั้งนี้ ทำให้มีกำลังใจที่จะทำความดีให้กับสังคมต่อไป” อำไพ สงค์สุขกล่าวทิ้งท้าย

/////

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวใหม่