วันเสาร์, ตุลาคม 26, 2024

หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยออนไลน์

หน้าแรก บล็อก หน้า 1999

พม. จัดงาน “18 ปี พัฒนาสังคมวิถีใหม่ ก้าวไกลยั่งยืน” เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา พส.

0

พิมพ์ไทยออนไลน์//ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 63 เวลา 10.30 น. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “18 ปี พัฒนาสังคมวิถีใหม่ ก้าวไกลยั่งยืน” เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ โดยมีนายสุทธิ จันทรวงษ์ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (อพส.) กล่าวรายงาน พร้อมด้วย นาวาตรีสุธรรม ระหงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. คณะผู้บริหารกระทรวง พม. ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมชั้น 2 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายปรเมธี กล่าวว่า ด้วย วันที่ 1 กันยายน เป็นวันคล้ายวันสถาปนากรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือเดิม “กรมประชาสงเคราะห์” ซึ่งวันที่ 1 กันยายน 2563 เป็นวันครบรอบ 18 ปี และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พส. ได้มุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรหลักในการจัดสวัสดิการสังคม เพื่อให้ประชาชนได้รับการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พึ่งพาตนเองได้ และสามารถเข้าถึงสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมที่เข้มแข็งและเอื้ออาทร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ที่ส่งผลให้ประชาชนต้องประสบปัญหาความเดือดร้อนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดย พส. จึงได้ขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการสังคมและนวัตกรรมใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับ “ชีวิตวิถีใหม่ หรือ New Normal” เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายในสังคมไทยมี “ความเข้มแข็ง ก้าวไกล และยั่งยืน” อย่างแท้จริง อาทิ 1) ชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ค้นหา “คนจนมาก ลำบากจริง” 2) ศูนย์คัดกรองเฉพาะกิจและศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับ คนไร้บ้าน คนไร้ที่พึ่ง 3) เครือข่าย อพม. 4) โครงการ “ตำบลสร้างเสริมสวัสดิการสังคม” 5) โครงการ “นวัตกรรม
ทางสังคมในชุมชน” และ 6) การนำร่องการถอนสภาพนิคมสร้างตนเอง เป็นต้น
นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า สำหรับปี 2563 กระทรวง พม. โดย พส. ได้กำหนดจัดงาน “18 ปี พัฒนาสังคมวิถีใหม่ ก้าวไกลยั่งยืน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภารกิจการดำเนินงาน ตลอดจนนวัตกรรมทางสังคมที่สำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมวิถีใหม่ไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน อีกทั้งเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกำลังใจ
แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่ายด้านการจัดสวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์ ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญประกอบด้วย 1) การมอบรางวัล “คนดี ศรี พส.” ประจำปี 2563 จำนวน 1 รางวัล ให้แก่บุคลากรสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ซึ่งเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม และมีความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่ประจักษ์ 2) การมอบโล่เกียรติคุณข้าราชการและลูกจ้างประจำดีเด่น ประจำปี 2562 จำนวน 6 รางวัล ให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ซึ่งเป็นผู้มีความวิริยะอุตสาหะ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และเกิดประโยชน์ต่อองค์กรและกลุ่มเป้าหมาย จนได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและผู้เกี่ยวข้อง 3) การมอบรางวัลบุคคลผู้กระทำความดี จำนวน 1 รางวัล ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็น ที่ประจักษ์ 4) การมอบโล่และใบประกาศเกียรติคุณแก่ผู้แทนองค์กรสวัสดิการสังคม จำนวน 7 องค์กร ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการจัดสวัสดิการสังคม 5) การมอบเข็มและใบรับรองมาตรฐานแก่นักสังคมสงเคราะห์ จำนวน 13 คน ที่ผ่านการประเมินมาตรฐานการปฏิบัติงานด้านการจัดสวัสดิการสังคม 6) การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ภาคีเครือข่าย “น้ำใจจากภาคี คนดี ศรี พส.” จำนวน 7 รางวัล และ 7) การมอบทุนการศึกษามูลนิธิลูกประชาสงเคราะห์ ประจำปี 2563 ให้แก่บุตรของเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ จำนวน 124 ทุน
นายปรเมธี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการขับเคลื่อนงานปีที่ 18 ของ พส. จะเป็นปีแห่งความท้าทายในการทำงาน ที่มุ่งมั่นและเต็มกำลังเพื่อประชาชนกลุ่มเป้าหมาย พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็ง
เพื่อการพัฒนาสังคมวิถีใหม่ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดย “ไม่ทิ้งใคร ไว้ข้างหลัง” :Cr;มณสิการ รามจันทร์

เปิดศึกดวลเทนนิสเยาวชน เพื่อความชนะเลิศแห่งปทท. ชิงถ้วยพระราชทาน

0

พิมพ์ไทยออนไลน์// สมาคมกีฬาเทนนิส ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เปิดศึกการแข่งขันเทนนิสเยาวชนเพื่อความชนะเลิศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 58 ประจำปี 2563 ชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระหว่างวันที่ 3 – 15 กันยายนนี้ ที่ ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมาดวลกันวันแรก ผลคู่ที่น่าสนใจมีดังนี้
รุ่นอายุไม่เกิน 14 ปี ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก อัจฉราพร วรรณโพธิ์ (อำนาจเจริญ) ชนะ รวินท์นิภา บัณฑิตเวชกร (ปทุมธานี) 6-0, 6-0 กมรวรรณ ก้อนศิลา (นนทบุรี) ชนะผ่าน ณัฐณิชา กฤติยาวงศ์ (กรุงเทพฯ) ภัทราภา อรชุนะกะ (กรุงเทพฯ) ชนะ นันท์นภัส ลำธารทอง (นนทบุรี) 6-3, 7-5 ไทร่า ลิธิบี (กรุงเทพฯ) ชนะ พรปวีณ์ นวลศรี (ปทุมธานี) 6-1, 6-0 วรรษชล แสนยาอุโฆษ (กรุงเทพฯ) ชนะ วาริศา อินทรพรหม (กรุงเทพฯ) 6-2, 6-4 ศตพร หนุนทอง (ฉะเชิงเทรา) ชนะ เมสสิยพร ตันจันทร์พงศ์ (กรุงเทพฯ) 6-1, 6-3 กัญจน์ชญา จูงวัฒนา (กรุงเทพฯ) ชนะ ณิชารีย์ บัวเพ็ชร (ชลบุรี) 6-3, 7-6 (3) เพียรธัญธัญ จิตรมั่นมานะ (กรุงเทพฯ) ชนะผ่าน ชนัสนันท์ ศิริวิโรจน์สกุล (กรุงเทพฯ) พิมพ์ลภัส ลิม (กรุงเทพฯ) ชนะ มัชฌิม มาลยาภรณ์ (พิษณุโลก) 6-1, 6-0 ปพิชญา อิสโร (สงขลา) ชนะ ณีราชา วิทูประพัทธ์ (เพชรบุรี) 6-0, 6-0 วิรินทร์ รื่นถวิล (พระนครศรียุธยา) ชนะ พิมพ์มาดา ลิม (กรุงเทพฯ) 7-5, 6-0

รุ่นอายุไม่เกิน 8 ปี ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก ธีร์ธัช รักคิด (กรุงเทพฯ) ชนะ ภัทรภูมินทร์ กางทอง (สกลนคร) 4-0, 4-0 ณัฐชนน ทองบัณฑิต (ชลบุรี) ชนะ ธนันต์ภูมิ ภูอนันตานนท์ (กรุงเทพฯ) 4-0, 4-1 พัชรวุฒิ อานันทนะสุวงศ์ (กรุงเทพฯ) ชนะ ปุณณ์ณพิชญ์ พิทักษ์ตระกูล (ชลบุรี) 4-1, 4-0 ธนดล เอี่ยมประเสริฐ (ชลบุรี) ชนะ ถิรวัสส์ พัฒนผดุงพงศ์ (กรุงเทพฯ) 4-0, 4-2 ณัทกร ศิลปรัตน์ (สุพรรณบุรี) ชนะ พิชญ์พงษ์ จีนาพันธุ์ (ปทุมธานี) 4-0, 2-4, 10-6 (ซุปเปอร์ไทเบรก) ณัฏฐ์ นาทันรีบ (กรุงเทพฯ) ชนะ ภาณุทรรศ จักเลิศชัย (กรุงเทพฯ) 4-0, 4-0 ขุน หวั่งหลี (กรุงเทพฯ) ชนะ ณภัทร ธนโสภณพิทักษ์ (นครศรีธรรมราช) 4-0, 4-1 วริษฐ์ เลิศสินธพานนท์ (กรุงเทพฯ) ชนะ ชินชวกร หงษ์หิรัญเรือง (ชุมพร) 5-4 (2), 0-4, 10-5 (ซุปเปอร์ไทเบรก) อนันต์นที พงศ์ศิริเลิศ (ชุมพร) ชนะ ณัฏฐพัฒน์ พรมวิชัย (สมุทรสาคร) 4-0, 4-0 อภิวัฐ เครือวัลย์( ชลบุรี) ชนะ ก้องภพ แซ่ลิ้ม (นครปฐม) 4-1, 4-0 เดนิส เขียวรักษา (ชลบุรี) ชนะผ่าน ชนินท์ โกวิทวัฒนชัย (ชลบุรี) ธนกร ไชยลังการ (พระนครศรีอยุธยา) ชนะผ่าน ธรรมลักษณ์ โกวิทวัฒนชัย (ชลบุรี) ภัคณัฏฐ์ สุขศรีวงศ์ (กรุงเทพฯ) ชนะ ภัทรปวินทร์ กางทอง (สกลนคร) 4-0, 4-0 ฌาน เลาอมรพาณิชย์ (กรุงเทพฯ) ชนะ ไอศูรย์ มังกรพานิชธาร (สมุทรปราการ) 4-2, 4-1 ปัณณพรรธน์ นิ่มนวลกุล (กรุงเทพฯ) ชนะ กันตธาวิน วรทินไชย (กรุงเทพฯ) 4-0, 4-0

 

 

Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

“บิ๊กแป๊ะ” ย้ำชลบุรีไม่มีปัญหา “เทควันโดบีซ” นักกีฬาแห่สมัครเพียบ

0

พิมพ์ไทยออนไลน์// ความเคลื่อนไหวการแข่งขันเทควันโดพุมเซ่ รายการ “พัทยา เทควันโด พุมเซ่ บีซ 2020” รูปแบบใหม่ “นิวนอร์มอล” จัดขึ้นเป็นครั้งแรกของไทย หลังสถานการณ์โรคโควิด-19 เริ่มคลี่คลายดีขึ้น ภายใต้การรับรองจากสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ที่มี “บิ๊กเอ” ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมฯ วันที่ 5-6 ก.ย.นี้ ที่ บริเวณชายหาดโรงแรมแอมบาสเดอร์ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี แบ่งการแข่งขันออกเป็น 4 ประเภท คือ ประพุมเซ่, ประเภทฟรีสไตร์พุมเซ่, ประเภทเทควันโดแดนซ์ และ ประเภทเทควันโดเบรกกิ้ง ตั้งแต่อายุ 9 ปีจนถึงประชาชนทั่วไปชาย-หญิง
“บิ๊กแป๊ะ” นายสนธยา คุณปลื้ม อดีตรมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะนายกเมืองพัทยา เปิดเผยว่า ตามที่ได้รับรายงานความพร้อมในด้านต่างๆทั้งโรงแรมที่พัก, สนามแข่งขัน, จุดคัดกรอง และ สถานที่ท่องเที่ยวห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาเป็นอันขาดในช่วงวันหยุดนี้จาก นายสัมฤทธิ์ พงษ์วิรัตน์ เลขาธิการสมาคมกีฬาแห่งจ.ชลบุรี และ “โค้ชนุ” พิษณุ พันพรหม เฮดโค้ชเทควันโดเมืองชลบุรี ในฐานะฝ่ายจัดการแข่งขัน เวลานี้ทุกอย่างมีความพร้อมเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ในการต้อนรับนักเทควันโดพุมเซ่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะจุดคัดกรองนักกีฬาและบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมไปถึงผู้ฝึกสอนที่จะมาให้กำลังใจนักกีฬาของตัวเองจำนวนมาก ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตั้งจุดตรวจและจุดคัดกรองโควิด-19 อย่างเข้มข้นตามมาตรฐานของ กระทรวงสาธารณะสุข โดยเฉพาะทุกคนที่เข้ามาภายในบริเวณสนามแข่งขันจะต้องสวมหน้ากากอานามัย และมีจุดวางเจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้อย่างทั่วถึง
นายสัมฤทธิ์ พงษ์วิรัตน์ พ่อบ้านสมาคมกีฬาแห่งจ.ชลบุรี กล่าวว่า เวลานี้เราปิดรับสมัครนักเทควันโดพุมเซ่ทั่วประเทศ ทางออนไลน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า มีนักกีฬาสนใจเข้าร่วมมากกว่า 500 คนจากสโมสรและชมต่างๆ ถือว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีต้องขอขอบคุณสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยที่ให้ความไว้วางใจในครั้งนี้
เนื่องจากเมืองพัทยามีสถานที่ท่องเที่ยวและท้องทะเลที่สวยงามไม่แพ้ภาคใต้ แถมยังมีร้านค้าและร้านอาหารให้เลือกมากมาย ส่วนตัวหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นอกเหนือจากเกมกีฬาที่จะต้องมาแข่งขันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งแล้ว ในอนาคตเราจะขอรับเป็นเจ้าภาพในระดับนานาชาติต่อไปอีก เพื่อต้องการประกาศให้ผู้คนได้รับรู้ถึงศักยภาพความพร้อมของจ.ชลบุรี ที่เราเป็นเมืองแห่ง “สปอร์ตซิตี้” ขอเพียงแค่ได้รับโอกาสจากสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยเท่านั้น เพราะต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสร้างนักเทควันโดหน้าใหม่ๆก้าวไปสู่ทีมชาติต่อไป

 

Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

“สองล้อ” ทำงานหนัก เป้าหลักโควต้าโอลิมปิกเกมส์ 2024

0

พิมพ์ไทยออนไลน์// “สองล้อ” ทำงานหนักต่อเนื่อง เดินหน้าลุยแผนปฏิบัติการ “Rod to Paris 2024” าตั้งแต่ปลายปี 2562 เพื่อสร้างนักกีฬาดาวรุ่งทุกประเภท “ถนน-ลู่-เสือภูเขา-บีเอ็มเอ็กซ์” เป้าหมายหลักคือการผ่านควอลิฟายโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ ฝรั่งเศส ด้านศึกบีเอ็มเอ็กซ์ชิงแชมป์ประเทศไทย สนามที่ 2-3 ที่ สนามเสมอกันเซอร์กิต จ.สุพรรณบุรี วันที่ 5-6 กันยายน มีถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊ก Thaicycling Association เวลา 14.00-16.00 น. ทั้งสองวัน
“เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย เผยว่า หลังจากที่สมาคมกีฬาจักรยานฯ ประสบความสำเร็จในการจัดทำและบริหารจัดการตามโครงการ “Rod to Tokyo 2020” ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานนักปั่นไทย เพื่อก้าวไปสู่ระดับนานาชาติ ระดับโลก และระดับโอลิมปิกเกมส์แล้ว สมาคมฯเริ่มวางแนวทางแผนปฏิบัติการอีก4 ปีข้างหน้า “Rod to Paris 2024” เพื่อความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่ากรอบการทำงานจะเริ่มต้นในปีงบประมาณ 2564 เดือนตุลาคม 2563 แต่ในความเป็นจริงนั้น สมาคมกีฬาจักรยานฯ เดินหน้าแผนตั้งแต่ปลายปี 2562 แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสภาวะการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างหนักหน่วงในช่วงต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน

พลเอกเดชา กล่าวว่า แผนปฏิบัติการ Road to Paris 2024 สมาคมกีฬาจักรยานฯ จะเน้นหนักไปที่การสร้างนักกีฬาดาวรุ่งขึ้นมาทดแทนนักกีฬารุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นประเภทถนน ลู่ เสือภูเขา และบีเอ็มเอ็กซ์ เป้าหมายหลักคือการผ่านควอลิฟายโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ กรุงปารีส ฝรั่งเศส ครบทั้ง 4 ประเภท รวมถึงเป้าหมายการต่อยอดความสำเร็จของนักปั่นไทยในระดับภูมิภาค ทั้งในซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ รวมไปถึงการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์เอเชีย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย สำหรับทุกภาคส่วนของสมาคม

กีฬาจักรยานฯ เป็นอย่างมาก“ในแผนพัฒนารอบนี้ สมาคมกีฬาจักรยานฯ จะพัฒนาศูนย์ฝึกจักรยานทั้ง 4 ภูมิภาค ประกอบด้วยศูนย์ฝึกจักรยานกองบิน 46 พิษณุโลก, ศูนย์ฝึกจักรยานพะเยา, ศูนย์ฝึกจักรยานวัดดงน้อย สระบุรี และศูนย์ฝึกจักรยานสุราษฎร์ธานี ให้มีความพร้อมการสร้างนักกีฬาจักรยานภูมิภาครุ่นใหม่อย่างถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา ซึ่งปัจจุบันบุคลากรหลักโดยเฉพาะผู้ฝึกสอน เป็นบุคลากรที่ผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนจักรยานระดับสูงมาทั้งสิ้น จะได้รับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์การกีฬาครบวงจร

ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เวทเทรนเนอร์, จักรยานวัตไบค์, อุปกรณ์การตรวจวิเคราะห์สมรรถภาพนักกีฬา จนถึงอุปกรณ์การปรับตั้งรถจักรยานแข่งขันให้เข้ากับสรีระและศักยภาพของนักปั่น เพื่อให้สามารถดึงเอาประสิทธิภาพของนักปั่นออกมาใช้อย่างเต็มที่ทั้งในระหว่างการฝึกซ้อมและแข่งขัน”
นอกเหนือจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว สมาคมกีฬาจักรยานฯ ร่วมกับฝ่ายวิทยาศาสตร์การกีฬา กกท. และคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในเรื่องการสนับสนุนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในทุก ๆ ด้านที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาขีดความสามารถทางร่างกายของนักกีฬาจักรยาน จะเน้นหนักเรื่องการวิเคราะห์ความเหมาะสม ของกล้ามเนื้อนักกีฬาในแต่ละศูนย์ หรือการ Identify นักกีฬา เพื่อนำมาพัฒนาและต่อยอดไปสู่การแข่งขันเฉพาะทาง ที่เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะทางกล้ามเนื้อและสรีระของนักกีฬาแต่ละบุคคลต่อไป

สมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย มีภาระหนักการจัดหางบประมาณ ด้านการลงทุนมารองรับการเดินหน้าแผนปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบัน แต่เชื่อว่าจากการสนับสนุนอย่างเต็มที่ จากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ต่างก็ประจักษ์ในผลงานในอดีตที่ผ่านมาของสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ ก็เชื่อว่าอุปสรรคในด้านงบประมาณไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้สัมฤทธิ์ผล”
นอกจากนี้ “ซูเปอร์หมึก คึกกว่า 5G” เปิดเผยอีกว่า ตามที่สมาคมกีฬาจักรยานฯ ได้จัดการแข่งขันจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ ชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2563 ในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ New Normal สนามที่ 2 และ 3 ระหว่างวันที่ 5-6 กันยายน ที่สนามเสมอกันเซอร์กิต จ.สุพรรณบุรี ล่าสุด มียอดนักกีฬาที่สมัครเข้าแข่งขันสนามละ 285 คน คาดว่าเมื่อปิดรับสมัครแล้วจะมียอดสูงถึงสนามละ 300 คน อย่างแน่นอน เนื่องจากว่างเว้นจากการแข่งขันมานานหลายเดือน
สำหรับการแข่งขันจักรยานบีเอ็มเอ็กซ์ ชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานฯ ประจำปี 2563 ในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ New Normal สนามที่ 2 และ 3 จะมีการถ่ายทอดสดให้แฟนกีฬาสองล้อได้ชมทางเฟซบุ๊กของสมาคมกีฬาจักรยานฯ Thaicycling Association ในวันเสาร์ที่ 5 กันยายน และวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน เวลา 14.00-16.00 น.และได้ตั้งโทรทัศน์วงจรปิดภายในเต็นท์ด้านหน้าสนามอีก 6 จุด เพื่อให้ผู้ติดตามและผู้ปกครองของนักกีฬาได้รับชม

 

Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

แฟน 2 ล้อเฮ! เข้าชม OR BRIC Superbike สนาม 2 ยิงสด 3 ชาติอาเซียน “พม่า-ลาว-กัมพูชา”

0

พิมพ์ไทยออนไลน์// แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยได้ชมติดขอบสนามอีกครั้ง หลัง ศบค. อนุญาตให้ ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์ประเทศไทย รายการ OR BRIC Superbike 2020 มีผู้ชมในสนามได้ เริ่มต้นสนาม 2 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ พร้อมขยายฐานความนิยมสู่ประเทศอาเซียน ถ่ายทอดสดสู่ 3 ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว, เมียนมาร์ และ กัมพูชาครั้งแรก ด้าน “ติ๊งโน๊ต” ฐิติพงศ์ วโรกร แชมป์ 3 สมัยจาก คาวาซากิ ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม หวังทวงบัลลังค์แชมป์
ความเคลื่อนไหวของการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์ประเทศไทย โออาร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ 2020 (OR BRIC Superbike Championship 2020) เตรียมระเบิดความมันส์สนามที่ 2 วันที่ 5-6 กันยายนนี้ ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ภายใต้รูปแบบ “นิว นอร์มอล เรซ”

ล่าสุด นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต กล่าวว่า ศึก โออาร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ 2020 (OR BRIC Superbike 2020) นับเป็นการแข่งขันจักรยานยนต์รายการแรกในเมืองไทย ที่กลับมาจัดการแข่งขันอย่างเต็มรูปแบบหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของ โควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลาย ซึ่งในสนามแรกเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยังไม่เปิดให้มีผู้ชมเข้าชมในสนาม
“ถือได้ว่า เป็นข่าวดีของแฟนความเร็วชาวไทยจริงๆ เมื่อ ศึก OR BRIC Superbike สนาม 2 ได้รับอนุญาตให้มีแฟนเข้าชมการแข่งขันได้แล้ว แต่ต้องอยู่ภายใต้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม และจำกัดจำนวนผู้เข้าชมการแข่งขันอยู่ที่ 6,000 คนต่อสนาม โดยยึดตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 9/2563 เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 8)”

“นอกจากนี้ ทางฝ่ายจัดการแข่งขัน ยังเดินหน้าแผนการขยายความนิยมของ OR BRIC Superbike 2020 ออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยการถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่านกล่อง MVBOX อย่าง สปป.ลาว รับชมทางช่อง MVL, เมียนมาร์ รับชมทางช่อง MVM และ กัมพูชา รับชมทางช่อง TV3 ถือเป็นการถ่ายทอดสดไปสู่ประเทศอาเซียน เพื่อนบ้านของไทยเป็นครั้งแรก”
สำหรับ ศึก OR BRIC Superbike 2020 แข่งขันทั้งสิ้น 5 คลาส ได้แก่ คลาสสูงสุดของประเทศไทย ซูเปอร์ไบค์ 1,000 ซีซี, ซูเปอร์สต็อก 1,000 ซีซี, ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี , ซูเปอร์สปอร์ต 400 ซีซี และ สปอร์ต โปรดักชั่น 400 ซีซี นอกจากนี้ยังเสริมทัพความมันส์จากการแข่งขันซัพพอร์ตเรซ จากค่ายรถจักรยานยนต์ยักษ์ใหญ่ อย่างเอ.พี.ฮอนด้า และ ยามาฮ่า ที่มาเสริมความสนุกภายในรายการอีกด้วย
การลุ้นแชมป์ของนักกีฬาในแต่ละรุ่นนั้น ภายหลังจากผ่านการแข่งขันสนามแรก สถานการณ์ลุ้นแชมป์ในคลาสสูงสุดของประเทศไทยอย่าง ซูเปอร์ไบค์ 1,000 ซีซี (SB1) นั้น ปรากฏว่า “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ จาก ยามาฮ่า เพาเวอร์สปีด เรซซิ่ง ทีม เจ้าของแชมป์สนามแรกนำเป็นจ่าฝูงบนตารางแชมเปี้ยนชิพ ตามด้วยทีมเมทอย่าง “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ ที่ตามอยู่ 5 คะแนน ส่วนอันดับ 3 เป็นของ ชัยวิชิต นิสกุล จาก คาวาซากิ ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม ตามหลังอยู่ 9 คะแนน

ขณะที่แชมป์ประเทศไทย 3 สมัยอย่าง “ติ๊งโน๊ต” ฐิติพงศ์ วโรกร จาก คาวาซากิ ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม ไร้แต้มจากสนามแรก หลังจากพลาดล้มขณะที่เป็นผู้นำ ส่งผลให้สถานการณ์ในการป้องกันแชมป์ในปีนี้ยากขึ้นอย่างมาก
ฐิติพงศ์ กล่าวว่า “รายการนี้ โดยส่วนตัวยังคงมีความพร้อมเต็มร้อยเหมือนเดิม หลังจากที่พลาดล้มจากสนามแรกเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ก็กลับมาทำการบ้านอย่างหนัก ฝึกซ้อมเต็มที่ เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าในปีนี้คู่แข่งมีความแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ผมเองก็ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถทวงตำแหน่งแชมป์กลับมาได้อย่างแน่นอน”
แฟนความเร็วมามันส์ติดขอบสนามไปพร้อมกัน 5-6 กันยายนนี้ บัตรเข้าชมการแข่งขัน ที่นั่ง Grandstand ราคา 100 บาท / 1 วัน ซื้อได้ที่จุดจำหน่ายบัตรหน้าทางขึ้น Grandstand สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต บุรีรัมย์ (จำหน่ายบัตรวันเสาร์-อาทิตย์ เท่านั้น) ส่วนผู้ชมทางบ้าน รับชมถ่ายทอดสดทาง True4U ช่อง 24 วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายนนี้ เวลา 14.30-17.00 น. หรือชม Live Streaming ทางเพจ Bric Superbike และ Chang Circuit Buriram และ Youtube : Bric Channel ตั้งแต่ เวลา 08.00 น.

 

 Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

“รมย์-นุ้ก-ต่าย” กอดคอฉลุย 32 คน “บิ๊ก สระบุรี” ถอนตัวสนุ้กหัวหินคัพ

0

พิมพ์ไทยออนไลน์// “รมย์ สุรินทร์” เจ้าของฉายา ก้มเป็นลง กอดคอ กฤษณัส เลิศสัตยาทร และ ต่าย พิจิตร ไล่ต้อนคู่แข่ง ผ่านเข้าสู่รอบ 32 คนสุดท้ายสนุกเกอร์ชิงแชมป์ประเทศไทย ได้อย่างสวยหรู ขณะที่ “บิ๊ก สระบุร” ขอถอนตัวไม่ได้เดินทางมาแข่งขัน
การแข่งขันสนุกเกอร์สะสมคะแนนเมืองไทย พี 80-ทรู หัวหิน ไทยแลนด์ คัพ 2020 รอบคัดเลือก 64 คนสุดท้าย ระบบ 4 ใน 7 เฟรม ที่ ทีบีซี สนุกเกอร์ เซนเตอร์ คลับ ซอยรามคำแหง 89/1  เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 63 เพื่อเฟ้นหา 16 คนสุดท้าย ไปแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย รายการที่ 5 “พี 80-ทรู หัวหินคัพ” ที่ ประจวบ​คีรีขันธ์ วันที่ 14-19 กันยายนนี้

ประพฤติ ชัยธนสกุล (รมย์ สุรินทร์) อดีตนักสนุกเกอร์ทีมชาติไทย จอมเก๋า วัย 58 ปี พบกับ นักสนุกเกอร์รุ่นหลาน รัฐนนท์ เขมทัต (อิฐ ศิษย์ต่าย ) วัย 37 ปี โดย รมย์ สุรินทร์ ได้ความเก๋าและลูกแทงกันที่ดีกว่า ขณะที่ อิฐ ได้ความสด และ สายตากับ มีความแม่นยำกว่า สองเฟรมแรกทั้งคู่ออกคิวได้อย่างสูสี ผลัดกันแพ้ และ ชนะ คนละเฟรม ทำให้เสมอกัน 1-1 เฟรมที่สาม อิฐ ศิษย์ต่าย แทงดำพลาดทำได้แค่ 15 แต้ม

จากนั้นเป็นโอกาสของ รมย์ สุรินทร์ ออกมาฉายไม้เดียว 77 แต้ม ทำให้ รมย์ ขึ้นนำ 2-1 เฟรม แต่ในเฟรมที่สี่ รมย์ นำอยู่ 45 – 22 ซึ่งโอกาสน่าจะตกเป็นของ อิฐ ที่เข้าเบรกและมีโอกาสปล้นชัยชนะ ซึ่ง ลูกชมพู จ่อที่ปากหลุม แต่กลับแทงฟัดจมูก เปิดทางให้ รมย์ สุรินทร์ ออกมาแทงง่าย ๆ และชนะไปอีก 51- 39 ขึ้นนำเป็น 3-1
เฟรมที่ 5 อิฐ ดูเหมือนจะกลับมาได้ แทงขึ้นนำ 37 แต้ม แต่ลูกแดงกระจายเต็มโต๊ะ เปิดโอกาสให้ รมย์ สุรินทร์ ออกมากวาดไม้เดียวหมดโต๊ะ ส่งผลให้ รมย์ สุรินทร์ ชนะ อิฐ ศิษย์ต่าย ชาดลอย 4-1 เฟรม (62-3, 34- 60, 77-15, 51-39 และ 80-37 ) ประพฤติ ชัยธนสกุล เข้าสู่รอบ 32 คน เข้าเจอกับ สิทธิชัย เชี่ยวชาญ (สีนิล ศิษย์เป้า )
ส่วนผลคู่อื่นๆมีดังนี้​ ปรมินทร์ ด่านจิรกุล ( นุ้ก คอนหวัน ) นักสนุกเกอร์ทีมชาติไทยชุดซีเกมส์​ ที่ ฟิลิปปินส์​ ถูกวิภูขึ้นนำก่อน​ 2-0​ ก่อนที่จะพลิกเกมกลับมาแทงชนะม้วนเดียว​ 4​ เฟรมชนะ วิภู ภูธิศาบดี ( บอย วิภู ) 4-2 เฟรม, กฤษณัส เลิศสัตยาทร (นุ้ก สงขลา ) นักสนุกเกอร์เบอร์ 1 ทีมชาติไทย ดีกรีแชมป์ประเทศไทยสนามที่ 4 และ รองแชมป์ 6 แดงชิงแชมป์ประเทศ​ไทย ครั้งล่าสุด เอาชนะ สุชาครีย์ พุ่มแจ้ง ( ขวัญ สระบุรี)

นักสนุกเกอร์ทีมชาติรุ่นพี่ แชมป์สนุกเกอร์ 6 แดงชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งล่าสุด 4-2 เฟรม, ศุภโชค ก่อเสริมสุข (บอย เซ็นจูรี่ ) ชนะ ชินภัทร์ คำสัตย์ ( เปา จันท์ ) 4-2 เฟรม, จงรักษ์ บุญรอด (ไผ่ สากล ) ชนะผ่าน อรรถสิทธิ์ มหิทธิ (บิ๊ก สระบุรี ), สิทธิชัย เชี่ยวชาญ (สีนิล ศิษย์เป้า ) ชนะ เอกรัฐ ธนานนท์ (ตั้ม แมวน้ำ ) 4-2 เฟรม, ชูชาติ ไตรรัตนประดิษฐ (ต่าย พิจิตร ) ชนะ ธนพล บุญปลอด (บอล สุรินทร์ 4-0 เฟรม

Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

ราชบัณฑิตยสภาจัดกิจกรรมวันภาษาไทยแห่งชาติ “รู้ทันสีสันภาษาสื่อ ภายใต้โครงการ”รู้รัก ภาษาไทย”ประจำปี 63

0
พิมพ์ไทยออนไลน์//ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2558 สำนักงานราชบัณฑิตยสภามีหน้าที่ข้อหนึ่งคือ “จัดการศึกษาอบรมและพัฒนาทางวิชาการเกี่ยวกับภาษาไทย ภาษาไทยถิ่น” และ “กําหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย การอนุรักษ์ภาษาไทย มิให้แปรเปลี่ยนไปในทางที่เสื่อม การส่งเสริมภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติให้ปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้น” สำนักงานราชบัณฑิตยสภาจึงได้ดำเนินโครงการจัดงานวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2563 ขึ้น ภายใต้หัวข้อ “รู้ทันสีสันภาษาสื่อ” ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งในโครงการ “รู้ รัก ภาษาไทย”
โดย ดร.ดวงตา ตันโช เลขาธิการราชบัณฑิตยสภา เปิดเผยถึงการจัดงานว่า  การส่งเสริมภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติให้ปรากฏเด่นชัดยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยทั้งชาติ ได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือกันทำนุบำรุง ส่งเสริม และรักษาภาษาไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป สำนักงานราชบัณฑิตยสภา จึงได้จัดกิจกรรมวันภาษาไทยแห่งชาติต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2554 และใน พ.ศ. 2563  นี้ ได้จัด 2 กิจกรรม ดังนี้
1. การประกวดเล่าเรื่องหัวข้อ “ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ของกิน ของเล่น ของใช้” สำหรับเยาวชนซึ่งเป็นนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย (ป. 4-6) จากโรงเรียนต่าง ๆ ในแต่ละภาค โดยให้นักเรียนเล่าเรื่องด้วยภาษาไทยถิ่นและภาษาไทยมาตรฐานที่แสดงความสามารถในการใช้ภาษาไทยถิ่น มีเนื้อหาที่ผู้ฟังประทับใจ และเล่าเรื่องได้อย่างเป็นธรรมชาติสมวัย
2. งานวันภาษาไทยแห่งชาติ  ปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) จึงได้เลื่อนการจัดงานจากวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2563 ภายใต้หัวข้อ “รู้ทันสีสันภาษาสื่อ” ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ โดย รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมมอบเกียรติบัตรให้แก่นักเรียนที่ชนะการประกวดเล่าเรื่องหัวข้อ “ภูมิปัญญาท้องถิ่น : ของกิน ของเล่น ของใช้” และได้รับเกียรติจาก นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
พร้อมกันนี้มีการเสวนาทางวิชาการหัวข้อ “รู้ทันสีสันภาษาสื่อ” มีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ นายบรรยงค์ สุวรรณผ่อง กรรมการควบคุมจริยธรรม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย , นายระวี ตะวันธรงค์ นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ,นายพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้ดำเนินรายการชัวร์ก่อนแชร์ ,ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง รามสูต จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริพร ภักดีผาสุข จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดังกมล ณ ป้อมเพชร รองคณบดีคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินการเสวนา
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ  กล่าวเปิดว่า ในนามของรัฐบาลต้องขอขอบคุณราชบัณฑิตยสภาที่กรุณาจัดให้มีกิจกรรมสำคัญเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติประจำปีนี้ขึ้น  อาจไม่ตรงกับวันภาษาไทยแห่งชาติ เพราะต้องถูกเลื่อนออกไป แต่เพราะได้เคยจัดอย่างต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี จะมาเว้นเพราะว่าด้วย Covid เสียได้กระไร ก็ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่องสรรเสริญ เพราะทราบกันทั่วไปว่า การจัดงานเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาตินั้น มีปฐมเหตุมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้เคยมีพระราชดำรัสถึงความสำคัญของภาษาไทยไว้ ในโอกาสที่เสด็จพระราชดำเนินร่วมการอภิปรายทางวิชาการที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อหลายปีมาแล้ว การมีพระราชดำรัสครั้งนั้น ได้ประทับร่วมกับนักปราชญ์ราชบัณฑิตทางภาษาของประเทศหลายคน ได้ประทับบนเวทีร่วมกัน ได้ทรงตั้งคำถาม ได้ทรงตอบคำถาม ได้ทรงแสดงพระราชทัศนะ และได้มีประโยคสำคัญเกิดขึ้น คือ การที่ทรงขอให้คนไทยรำลึกถึงความสำคัญของภาษาไทย ช่วยกันรักษา ช่วยกันใช้ ช่วยกันต่อยอด ช่วยกันพัฒนา การอภิปรายทางวิชาการในวันนั้น ได้มีแล้วก็ผ่านพ้นไป แต่บรรดาครู ๆ บรรดาผู้รู้ทั้งหลายกลับมาย้อนนึกถึงแล้วก็เกิดความปิติอิ่มเอิบ ขณะเดียวกันก็เกิดความไม่สบายใจว่า เราทั้งหลายที่เป็นคนไทย ถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินท่านไม่ได้มีพระราชดำรัสแบบนั้น ก็เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องรักษาภาษาไทย ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง อย่าให้ภาษาวิบัติ หรือคลาดเคลื่อน จนกระทั่งได้มีกระแสพระราชดำรัสอย่างนั้นแล้ว จะอยู่นิ่งนอนเฉยเสียได้กระไร จุดนี้เองจึงนำไปสู่ข้อเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ประกาศเอาวันที่ระลึกถึงการเสด็จพระราชดำเนินยังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งกระนั้นเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว แล้วก็เลยกลายเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติสืบมาจนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามรองนายกรัฐมนตรีระบุว่า ด้วยราชบัณฑิตยสภา เป็นหลักเป็นประธานขององค์ความรู้ทั้งหลายของประเทศ เป็นหน้าเป็นตา เป็นศรีเป็นสง่าขององค์ความรู้ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ แพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือศาสตร์ใด ๆ ก็ตาม  หัวใจของราชบัณฑิตยสภา อยู่ที่ ภาษาไทย เมื่อเอ่ยถึงราชบัณฑิตยสภาก็จะนึกถึงผลงานด้านภาษาไทย เมื่อเอ่ยภาษาไทย เราก็จะนึกถึงราชบัณฑิตยสภา เป็นดังนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อแรกสถาปนาขึ้นแล้ว
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะราชบัณฑิตยสภาเป็นผู้ชำระและจัดทำพจนานุกรมของทางราชการขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ใช้เป็นฉบับราชการ เวลาขึ้นโรงขึ้นศาลเถียงกันเรื่องคำในกฎหมายหรือภาษาไทย เถียงกันว่าถ้อยคำนี้ ประโยคนี้ที่จำเลย บริภาค หรือด่าโจทก์ เป็นคำธรรมดา คำสุภาพ คำดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาท ศาลให้เปิดพจนานุกรมและให้ยุติตามนั้น จึงกล่าวกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วว่า ราชบัณฑิตยสภาเป็นศาลฎีกาของภาษาไทย องค์ความรู้อื่นๆ แม้ราชบัณฑิตยสภาจะมีอยู่แต่ก็อาจจะเป็นเพียงศาลชั้นต้น ศาลอุทร ศาลแขวง ศาลจังหวัด แต่ถ้าเอ่ยถึงภาษาไทยแล้ว ถือเป็นยุติตามราชบัณฑิตยสภา คือ เป็นศาลฎีกาโดยใช้พจนานุกรมเป็นหลัก จนแม้แต่คำใดที่ไม่มีอยู่ในพจนานุกรม เพราะยังเก็บไว้ไม่ทัน หรือยังตรวจชำระกันไม่เสร็จ คณะรัฐมนตรีมีมติถ้ามีปัญหาสงสัย ให้ส่วนราชการหนังสือถามไปที่ราชบัณฑิตยสภา ขอคำวินิจฉัยเฉพาะคำคำนั้นไปก่อน หรือแม้แต่เมื่อมีความจำเป็นที่ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ที่มาจากต่างประเทศ และเรายังไม่เคยมีในภาษาไทย ถ้าหากอยากจะรู้ว่าควรจะเรียกอย่างไร จะได้เรียกให้เหมือนกัน ไม่ลักลั่นกัน ก็ให้หารือไปที่ราชบัณฑิตยสภา   ฉะนั้น เมื่อมาถึงวันภาษาไทยแห่งชาติ จึงเป็นหน้าที่ที่ราชบัณฑิตยสภาต้องฟื้นกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นมา และสืบทอดต่อไปทุกปี ๆ คนอื่นจะได้เจริญรอยตาม คนอื่นเขาจะได้รู้ว่าวันภาษาไทยแห่งชาติยังมีอยู่ ภาษาเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร ภาษาไทยเป็นภาษาที่คนไทยใช้ติดต่อสื่อสาร ใช้จดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ สืบต่อมายาวนานเป็นร้อยปี   เราก็ถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่มีภาษาของตนเอง   แม้แต่ประเทศที่เราเรียกว่าเป็นมหาอำนาจ เค้าก็ไม่ได้มีภาษาของเค้าเอง แต่เค้าใช้ภาษาของประเทศอื่น ในยุโรปหลายประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง จนแม้แต่ทางวัฒนธรรมก็ต้องใช้ภาษาของประเทศอื่น เพราะฉะนั้นการที่ประเทศไทย มีภาษาเป็นของเราเองจึงเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ และจำเป็นที่จะต้องหวงแหน ถนอม รักษา พัฒนา ต่อยอด ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการจดบันทึกประวัติศาสตร์ บันทึกเรื่องราวในทางขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม บันทึกกฏหมาย บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ทำให้เราได้นำมาใช้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ภาษาไทยได้แตกแยกแขนงออกไปเป็นภาษาพูด ภาษาเขียน เป็นภาษาเพลง ซึ่งมีความไพเราะงดงาม
“ใครเห็นคุณรัดเกล้า ก็ต้องนึกภาษาเพลงที่ไพเราะทั้งเนื้อร้องและทำนอง ซุ่มเสียง นั่นแหละครับ คือภาษาไทย แต่ขณะเดียวกัน เราต้องตระหนักว่า คำว่าภาษาไทย หรือ Thai Language นั้น มีทั้งที่เป็นภาษาของกรุงเทพ และภาษาท้องถิ่น ภาษากรุงเทพ ก็เป็นภาษาที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ บางคนเรียกภาษากลาง เพราะเป็นภาษาที่ใช้ในราชการ แต่ภาษาที่ใช้กันอยู่ในท้องถิ่นเหมือนอย่างที่น้อง ๆ หนู ๆ เด็ก ๆ ได้ขึ้นมาพูดให้เราฟังเมื่อสักครู่นี้ นั่นเป็นภาษาท้องถิ่น และถ้าจำแนกรายละเอียดจะยิ่งซอยย่อยยิ่งไปกว่านี้อีก กลายเป็นรายจังหวัด รายอำเภอ รายตำบล ที่ศัพท์แสงและสำเนียงก็อาจจะผิดเพี้ยนกันไป และทั้งหมดก็คือ ภาษาไทย และเราเรียกว่าภาษาถิ่น เวลาเราไปอยู่ในท้องถิ่นของหนู ๆ น้อง ๆ เด็ก ๆ เมื่อสักครู่ เวลาเราไปกินน้ำชุบที่เขามานั่งเล่าให้เราฟัง เวลาเราไปกินน้ำพริกอ่อง น้ำพริกแมงดา แล้วเขาใช้ภาษาเล่าให้เราฟังนะ เขาถือว่าภาษานั้นคือภาษากลาง” รองนายกรัฐมนตรีกล่าวและว่าในที่สุดก็เป็นหน้าที่ของคนไทย ที่จะต้องใช้ภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษากลาง หรือภาษาถิ่นให้ถูกต้อง คำว่าถูกต้องในที่นี้ คือ ถูกต้องตามระเบียบแบบแผนตามภาษานั้น ถูกต้องในที่นี้ก็คือถูกต้องในแง่ของความสุภาพ ไพเราะ ถูกต้องในที่นี้หมายถึงการอยู่บนพื้นฐานของความจริง คือใช้ภาษาแสดงสิ่งที่เป็นความจริงออกมา ไม่ว่าจะเป็นความจริงใจ หรือความจริงที่เป็นสัจจะของเนื้อหา นั่นคือไม่บิดเบือน ไม่ใช้ภาษาไปในทางข่มหรือทำลาย หรือก่อให้เกิดความแตกแยก ภาษานั้นเป็นคำกลางๆ ในตัวมันเอง จะเอาไปใช้ในทางดี คือ สร้างสรรค์ก็ได้ จะเอาไปใช้ในทางร้ายคือ ประหัดประหาร ดูหมิ่น หมิ่นประมาท ด่าทอกัน ก็ได้ ก็คราวนี้อยู่ที่ว่าจะใช้อย่างไรให้เป็นประโยชน์
“ผมจึงอยากขอขอบคุณราชบัณฑิตยสภาที่แบ่งกิจกรรมในวันภาษาไทยแห่งชาติในปีนี้ออกเป็น 2 ตอน ตอนแรก คือ การประกวดการเล่าเรื่อง หรือแสดงสุนทรพจน์ภาษาถิ่น อย่างที่เราเห็นเมื่อสักครู่ เดี๋ยวต่อจากนี้ไป จะเป็นช่วงที่สอง โดยการหยิบยกเอาภาษาไทยที่พัฒนาไปถึงอีกระดับหนึ่ง ซึ่งคนรุ่นก่อน อาจจะไม่เคยพบไม่เคยเห็น นั่นก็คือ ภาษาที่ใช้ทางสื่อออนไลน์ ซึ่งนับวันจะมีความสำคัญมากขึ้นทุกที่ แต่มากอย่างไรในฐานะที่เป็นภาษาก็คงต้องอยู่บนหลักที่ผมได้เรียนให้ทราบ หลักนี้ผมไม่ได้คิดขึ้นเอง ผู้รู้ทั่วโลกได้วางหลักเอาไว้ คือ ใช้ภาษาให้ถูกตามระเบียบแบบแผน ใช้ภาษาให้สุภาพไพเราะ ใช้ภาษาเพื่อเป็นฐานรองรับความจริง อย่าใช้ภาษาไปในทางประหัตประหาร ทำลาย โป้ปด มดเท็จ หลอกลวง เสกสรรปั้นแต่ง คำร้ายๆ ทำนองนี้มามาก ผมขอขอบพระคุณทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมในวันนี้ ขอบพระคุณคณะกรรมการ ที่มีส่วนในกาวรคัดเลือกตัดสิน ให้รางวัล ผมแอบกระซิบถามท่านนายกราชบัณฑิตยสภาเมื่อสักครู่ว่า สี่ภาคห้าภาคแบบนี้ กรรมการฟังรู้เรื่องหรือเปล่า แต่ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ เราจะรู้ว่ามันมีความไพเราะ มีความจริงใจ และที่สำคัญคือมันมีระเบียบแบบแผนของภาษาถิ่น ถิ่น นั้นๆ อยู่ในตัวของมันเอง พูดกี่ทีก็จะพูดได้อย่างนั้นแหละ ขอขอบพระคุณครูอาจารย์ผู้ฝึก ขอบพระคุณท่านผู้บริหารโรงเรียน และที่สำคัญขอบพระคุณหนู ๆ น้อง ๆ นักเรียนที่ได้เข้ามาประกวด ขอบพระคุณท่านวิทยากรที่จะมาให้ อรรถาธิบาย เกี่ยวกับเรื่องของสื่อชนิดใหม่ในสังคมไทย คือ สื่อออนไลน์ ในวาระถัดจากนี้ไป และบัดนี้ได้เวลาอันสมควรผมขอเปิดกิจกรรมวันภาษาไทยแห่งชาติ ของราชบัณฑิตยสภา ประจำพุทธศักราช 2563 ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป และขอให้กิจกรรมนี้ประสบความสำเร็จและอยู่ยั้งยั่งยืนสืบไปชั่วกาลนาน ขอบพระคุณครับ”ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ กล่าวในตอนท้าย:Cr;มณสิการ รามจันทร์

ผู้ต้องขังชาย.อาชีพดีเจ ย่านพระราม3 ติดโควิค-19

0

พิมพ์ไทยออนไลน์  // “อธิบดีกรมราชทัณฑ์” แจง ผู้ต้องขังชาย คดียาเสพติด เพิ่งรับตัวเข้ามาทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ติดเชื้อโควิด-19 สั่งแยกเฝ้าระวัง

วันที่3 ก.ย. 63  พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์  ชี่แจง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในเรือนจำโดยขณะนี้ พบผู้ต้องขังชาย อายุ 37 ปี คดี พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ อยู่ระหว่างพิจารณา ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย ซึ่งทางทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางเป็นผู้รับตัวไว้เมื่อวันที่ 26 ส.ค.63 และเข้ารับการกักกันตัวในห้องแยกโรคตามนโยบายกรมราชทัณฑ์ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

พ.ต.อ.ณรัชต์ เผยอีกว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 กลุ่มผู้ต้องขังรับใหม่ภายในทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางเป็นประจำทุกสัปดาห์ พบว่ามีผู้ต้องขังเข้าใหม่ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย  นายแพทย์วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ลงพื้นที่เพื่อหาสาเหตุการติดเชื้อในผู้ต้องขังรายนี้เป็นการเร่งด่วนแล้ว และได้สั่งการให้ย้ายผู้ติดเชื้อไปเข้ารับการรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ทันทีและย้ายผู้ต้องขังในหอแยกโรคของทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางที่นอนห้องเดียวกันไปแยกกักกันโรคต่อจนครบ 14วัน ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ด้วยเช่นกัน

วันนี้กรมควบคุมโรคและสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองเข้าสอบสวนโรค และส่งตรวจเลือด กลุ่มผู้ต้องขังที่อยู่หอนอนเดียวกัน จำนวน 34 คน โดยผู้ต้องขังที่พบผลบวก 1 ราย ได้เก็บส่งตรวจเพื่อเพาะเลี้ยงเชื้อโควิด-19 แยกประเภทเชื้อเป็นหรือเชื้อตาย ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จากการซักประวัติพบว่า ผู้ต้องขังไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ ไม่เคยสัมผัสผู้ติดเชื้อก่อนเข้าเรือนจำ ประกอบอาชีพดีเจ ย่านพระราม 3 และพระราม 5 นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังได้เข้าตรวจกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ต้องขังดังกล่าวอีกด้วย”

พ.ต.อ.ณรัชต์ เผยต่อว่า ผู้ต้องขังรายดังกล่าวเป็นผู้ต้องขังรับใหม่เข้ามาอยู่เรือนจำได้เพียง 8 วัน และยังอยู่ระหว่างการแยกกักโรค 14 วัน ตามมาตรการของกรมราชทัณฑ์ มิได้สัมผัสกับผู้ต้องขังเก่าในเรือนจำแต่อย่างใด อีกทั้ง ผลการตรวจดังกล่าวยังไม่สามารถยืนยันว่าผลตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อโควิด-19 ของผู้ต้องขังรายนี้ เป็นผลบวกต่อเชื้อที่มีชีวิตหรือผลบวกต่อเศษซากเชื้อที่ตายแล้ว หากผลการตรวจเป็นประการใดกรมราชทัณฑ์ จะได้รายงานและแจ้งให้ประชาชนทราบอีกครั้งหนึ่ง และกรมราชทัณฑ์ ยังคงมีมาตรการในการควบคุมและป้องการการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภายในเรือนจำอย่างเคร่งครัดต่อไป

Cr. : นายทวีศักดิ์ ชิตทัพ ผู้สื่อข่าวพืมพ์ไทยออนไลน์

“ไมค์ระยอง” รอดคุก ศาลยังไม่ถอนประกัน

0

พิมพ์ไทยออนไลน์ // ไมค์ ระยอง รอดคุก ศาลไม่ถอนประกัน ยังเป็นเด็กนักศึกษา  แต่เพิ่มเงินประกัน อีก 1 แสนบาทห้ามผิดอีก ให้งานตัวทุก15 วัน

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 63 ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก วันนี้ศาลนัดไต่สวนการพิจารณาคำร้องของพนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ ขอเพิกถอนการประกันตัวนายอานนท์ นำภา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง ผู้ต้องหาคดีร่วมชุมนุมเยาวชนปลดแอก หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว

ต่อมา เวลา 16.00น. ศาลพิเคราะห์ คำเบิกความและพยานหลักฐานชั้นไต่สวนและคำคัดค้านแล้วเห็นว่ามีพฤติการณ์หลังปล่อยตัวแล้ว นายภาณุพงศ์ ผู้ต้องหา รับว่าไปปราศรัยที่ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตในวันที่ 10 ส.ค.63 จริง แต่จำเนื้อหาไม่ได้ ประกอบกับพนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ได้นำพยานหลักฐานไปขออนุมัติหมายจับผู้ต้องจากศาลจังหวัดธัญญบุรีในข้อเดียวกันอีกด้วย พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงเพียงพอและเชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระทำจนอาจจะก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง เห็นว่าผู้ต้องหากระทำผิดเงิ่อนปล่อยตัวชั่วคราวของศาลจริง อย่างไรก็ตามเมื่อพิเคราะห์ อายุและอาชีพการงานของผู้ต้องหาแล้วจึงให้โอกาสกลับตัว ศาลจึงใช้ดุลยพินิจ เพิ่มวงเงินประกันจาก 100,000 บาท เป็น200,000 บาท และให้รายงานตัวทุก 15 วันนับตั้งแต่วันนี้ หากกระทำผิดเงื่อนไขปล่อยคราวอีก ศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวต่อไป.

Cr. : นายทวีศักดิ์ ชิตทัพ ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์