https://www.natethip.com/news.php?id=9124
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=9124
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=9119
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=9119
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=9116
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://linevoom.line.me/?utm_medium=windows&utm_source=desktop&utm_campaign=GNB_timeline
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
พิมพ์ไทยออนไลน์//เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ศาสตราจารย์นายแพทย์เกษม วัฒนชัย นายกสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-จีน เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ Green Technology Expo 2024 เปิดประตูสู่อนาคต ”Driving Sustainable Solutions : Advancing Business Through Green Technology ส่งเสริมแผนงานความยั่งยืน ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีสีเขียว โดยความร่วมมือของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไทย-จีน และหน่วยงานภาครัฐของสาธารณรัฐประชาชนจีน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ฮอลล์ EH 102 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.พิชัย สนแจ้ง เลขาธิการสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-จีน และคณะผู้จัดงานให้การต้อนรับ ศาสตราจารย์นายแพทย์เกษม กล่าวว่า สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไทย-จีน เป็นสมาคมที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดเทคโนโลยี สู่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ระหว่างหน่วยงานวิจัย มหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรม ทั้งภาครัฐและเอกชน ในประเทศไทย สาธารณรัฐประชาชนจีน และนานาชาติ
ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของโลกและการดำเนินชีวิตของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 20 มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ในอัตราที่สูงมาก ทำให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเกิดการสะสมของก๊าซเรือนกระจก เป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม สภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ในปัจจุบันนานาชาติต่างยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาของโลกและจำเป็นต้องมีความร่วมมือแก้ไขในระยะยาว โดยให้เป็นนโยบายสำคัญของสหประชาชาติ ซึ่งมีการประชุมและให้สัตยาบันในข้อตกลงกรุงปารีส ประเทศสหรัฐอเมริกาก็กลับมาใช้สนธิสัญญาปารีส โดยประกาศลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ร้อยละ 50-52 ขณะที่สหภาพยุโรปได้ประกาศแผน green deal มุ่งสู่ความเป็นกลาง ทางคาร์บอนภายในปี 2050 ประเทศจีนก็ประกาศแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุดภายในปี 2030
สำหรับประเทศไทยก็ได้ให้สัตยาบัน ณ กรุงปารีส โดยประกาศจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas : GHG)ให้ได้ร้อยละ 20-25 ภายในปี 2030 หรือ พศ. 2573 และได้ประกาศการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วย Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG ในปี พศ. 2567 นี้
ศาสตราจารย์นายแพทย์เกษม กล่าวต่อไปว่า จึงเป็นที่มาของการจัดงาน Green Technology Expo 2024 ขึ้น ในระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร โดยงานดังกล่าวจะเป็นการนำเสนอเทคโนโลยีสีเขียวหรือ Green Technology จากบริษัท และหน่วยงานชั้นนำจากประเทศไทย สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศต่างๆโดยมุ่งเน้นเทคโนโลยีสีเขียวในด้านต่างๆซึ่งการพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสีเขียวเพื่อลดการใช้ทรัพยากร ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียจากกระบวนการผลิต
” ในนามของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไทยจีน ผมขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมงาน
Green Technology Expo 2024 ในครั้งนี้ ทั้งร่วมในการนำเสนอเทคโนโลยีสีเขียวในด้านต่างๆและหรือร่วมในการเข้าเยี่ยมชมงาน ระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2567 เวลา 10 โมง ถึง 1 ทุ่ม ณ Hall EH 102 ครับ” ศาสตราจารย์นายแพทย์เกษม กล่าวในตอนท้าย
ทางด้านศาสตราจารย์ ดร.พิชัย กล่าวว่า การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรรมมีผลต่อสิ่งแวดล้อม การเพิ่มพื้นที่เมืองและลดพื้นที่ป่า สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เกิดการสะสม Green House Gas (GHG) เกินกว่าที่ธรรมชาติจะรับได้ จนเกิดปัญหาภาวะโลกร้อน หรือ Global Warming ย้อนกลับมามีผลกระทบต่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ภาคบริการ และการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างที่ทุกคนรับทราบ และเผชิญปัญหาร่วมกัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขโดยสมาคมฯเห็นว่าการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนต้องเกิดจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนการผลิตและกระบวนการทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และบริการ ซึ่งต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพัฒนานวัตกรรม
โดยการจัดงาน “Green Technology Expo 2024” ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการกระจาย การใช้การพัฒนาเทคโนโลยีและการสร้างนวัตกรรม โดยเป็นพื้นที่ให้เกิดการพบปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเจ้าของเทคโนโลยี นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักวิจัย และผู้สนใจทั่วไป ที่จะร่วมกันเสนอเทคโนโลยีและความคิดใหม่ ต่อยอดความรู้ แก้ปัญหา และสนองความต้องการ ซึ่งจะเกิดทั้ง Business Matching และ Technology Matching สร้างธุรกิจที่สนองนโยบาย SDG และ BCG-Economic ของ UN
อีกทั้งนโยบายของประเทศไทยที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในประเทศต่างๆ โดยยึดหลัก mutual benefit และ sincerity ซึ่งในการจัดงานปี 2023 ที่ผ่านมาเราได้ร่วมมือกับประเทศสาธารณรัฐจีน เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และประเทศอื่นๆ ทำให้เกิดความร่วมมือ ในการลงทุน การพัฒนา อุตสาหกรรม นวัตกรรม เทคโนโลยี พลังงานจากไฮโดรเจน การจัดการน้ำเสียและอื่นๆ
” ผมว่าเราต้องใส่ใจ Carbon Footprint ให้ความสำคัญใน commitment ที่ได้ให้ไว้กับ สหประชาชาติ ต้องพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่ให้มี Value หรือมีคุณค่ามากขึ้นเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นนั่นเอง” ศาสตราจารย์ดร.พิชัย กล่าวและย้ำว่า การจัดงานในครั้งนี้เราได้นำเทคโนโลยีต่างๆมาเผยแพร่ในประเทศไทย เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศไทย ประเทศจีนและนานาชาติ ส่งผลให้เกิดการส่งเสริมการใช้ Green Technology ในการเพิ่มมูลค่าการผลิตด้านอุตสาหกรรม หรือ กิจกรรมอื่นๆในแต่ละภาคส่วน
” เราจึงขอเชิญทุกภาคส่วน การเกษตร อาหาร สุขภาพ ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม หน่วยงาน ภาคการลงทุนต่างๆ ธนาคาร หรือ องค์กรที่กำกับดูแลสิ่งแวดล้อม มาร่วมงานเพื่อการแสวงหาเพื่อนใหม่ อันนำไปสู่ความร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปซึ่งการจัดงานของเราไม่ได้จัดเพื่อการแสวงหากำไร มาเถอะครับมาคุยกัน” ศาสตราจารย์ดร.พิชัย กล่าว
สำหรับการจัดงาน งาน Green Technology Expo 2024 “เปิดประตูสู่อนาคต ”Driving Sustainable Solutions : Advancing Business Through Green Technology ส่งเสริมแผนงานความยั่งยืน ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีสีเขียว
ระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00-19.00 น ณ Hall EH 102 ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2025 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2065 ซึ่งทางสมาคมฯได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนการลดปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกและส่งเสริมการพัฒนาแบบยั่งยืน (SDG) รวมทั้งสนับสนุนนโยบายของประเทศด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน :Cr;มณสิการ รามจันทร์
สงขลา-สมาชิกวุฒิสภา ที่ปรึกษาสมาคมผู้ปกครอง ครู โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยจัดหาทุนโครงการปันรอยยิ้มอิ่มท้องน้องญ.ว.
25ตุลาคม2567สว.ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา ที่ปรึกษาสมาคมผู้ปกครอง ครู โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย ประธานอนุกรรมการจัดหาทุนโครงการปันรอยยิ้มอิ่มท้องน้องญ.ว.พร้อมด้วยกรรมการบริหารสมาคม มอบทุนให้แก่ร้านค้าผู้จำหน่ายอาหารร่วมโครงการ เพื่อสมทบช่วยเหลือนักเรียน141คน โดยมีผอ.พงษ์ศักด์ สังข์ถาวร ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นประธานในการรับมอบ…ขอขอบพระคุณผู้มีจิตศรัทธาผู้บริจาคร่วมโครงการ/ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ในเจตนาอันเป็นกุศลนี้
พิมพ์ไทยออนไลน์//ในยุคปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตขึ้นได้มาก โดยเฉพาะการขนส่งจากจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตขนาดใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก ดังนั้นการใช้เลือกบริการจากบริษัทขนส่งสินค้าจากจีนย่อมเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะบริการขนส่งแต่ละแบบก็มีลักษณะที่ต่างกัน วันนี้จะขอพาไปดูการเหมาตู้คอนเทนเนอร์จากจีนว่าขนส่งแบบนี้จะเหมาะกับธุรกิจแบบใดไหนบ้างขนส่งแบบเหมาตู้จากจีนคืออะไร
ภาพ: การขนส่งแบบเหมาตู้
การเหมาตู้คอนเทนเนอร์จากจีน โดยใช้บริการขนส่งแบบเหมาตู้จากจีน หรือ Full Container Load (FCL) เป็นบริการแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก วิธีนี้จะเป็นการส่งสินค้าโดยบรรจุสินค้าให้เต็มทั้งตู้ โดยทั้งตู้คอนเทนเนอร์นั้นจะเป็นของลูกค้าเพียงเจ้าเดียว ทำให้ขนส่งแบบ FCL มีข้อได้เปรียบหลายอย่าง
หลังจากรู้แล้วว่าขนส่งแบบเหมาคืออะไร คำถามต่อไปที่มักเกิดขึ้นมาต่อก็ไม่พ้นเรื่องราคา ว่าจะคำนวณค่าขนส่งยังไง แล้วการขนส่งแบบนี้มันมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ วันนี้จะมาไขคำตอบกัน
ค่าบริการขนส่งโดยเบื้องต้นจะคำนวณจากปริมาตรของสินค้า (หน่วยเป็นคิว) หารกับน้ำหนักของสินค้าทั้งหมด (หน่วยเป็นกิโลกรัม) แล้วคูณด้วยเรทราคา ก็จะได้ราคาค่าบริการเบื้องต้นแล้ว
ภาพ: การขนส่งแบบเหมาตู้
ธุรกิจที่ผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เหมาะมากสำหรับการใช้บริการขนส่งแบบเหมาตู้คอนเทนเนอร์ เนื่องจากธุรกิจนี้จะมีปริมาณสินค้าจำนวนมาก ทำให้การเหมาตู้จะช่วยประหยัดทั้งเวลาการขนส่งและประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย
ส่วนธุรกิจค้าปลีกที่ต้องนำเข้าสินค้าจากจีน หัวใจสำคัญคือการลดต้นทุนของสินค้า เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการใช้บริการแบบเหมาตู้จะช่วยให้สั่งสินค้าได้ในปริมาณมาก เพื่อลดค่าใช้จ่ายต่อชิ้น แถมยังช่วยให้มีสต๊อกสินค้าไว้รับความต้องการของลูกค้า
สำหรับธุรกิจอีกประเภทที่เหมาะกับการใช้บริการขนส่งแบบเหมาตู้คือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและอาหาร เช่น ผักสด ผลไม้ หรือสินค้าเกษตรอื่นๆ เพราะสินค้าเหล่านี้ต้องการความสดใหม่ และการรักษาคุณภาพวัตถุดิบต่าง ๆ ให้ดีที่สุด ระยะเวลาและความรวดเร็วจึงสำคัญมาก
บริษัทที่นำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หรือชิ้นส่วนที่มีมูลค่าสูง เช่น คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ไอที อาจใช้บริการขนส่งแบบเหมาตู้คอนเทนเนอร์เพื่อป้องกันความเสียหายและรักษาคุณภาพสินค้า
การขนส่งแบบเหมาตู้คอนเทนเนอร์เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่มีการผลิตหรือจัดจำหน่ายสินค้าปริมาณมาก และถ้ายิ่งได้บริษัทขนส่งสินค้าจากจีนที่เชี่ยวชาญและชำนาญด้านการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนมาไทย ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์ทำงานแบบมืออาชีพ พร้อมให้บริการอย่างครบวงจร ก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในตลาดโลกอย่างยั่งยืน
พิมพ์ไทยออนไลน์// สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) จัดประกวดไอเดีย “รถไฟในฝัน” ระดับเยาวชน เตรียมสร้างคนรองรับอุตสาหกรรมใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมเร่งจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางแบบบูรณาการ
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 ที่ ห้องบอลรูม B โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. ภายใต้กระทรวงคมนาคม ได้แถลงเปิดตัวโครงการ “คิดใหญ่ไปให้สุดราง” (Think Beyond Track) ซึ่งเป็นการประกวดความคิดสร้างสรรค์ระดับเยาวชนในหัวข้อ “รถไฟในฝัน” พร้อมเปิดวิสัยทัศน์และพันธกิจของ สทร. ในการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ
ดร.จุลเทพ เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นกิจกรรมนำร่องของ สทร. ซึ่งเป็นสถาบันหลักด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง และมีพันธกิจสำคัญด้านหนึ่งคือ การพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ จึงได้ริเริ่มจัดโครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราง โดยพุ่งเป้าที่กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ เชิญชวนให้นักเรียน นักศึกษา อายุระหว่าง 16-22 ปี ในจังหวัดที่มีรถไฟสายหลักวิ่งผ่าน ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดภายใต้หัวข้อ “รถไฟในฝัน” โดยมีรางวัลเป็นเงินทุนการศึกษารวม 420,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะของเยาวชนในการคิดสร้างสรรค์และนำเสนอไอเดียที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางในอนาคต โดยผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดการสมัครเข้าร่วมโครงการและส่งผลงานได้ทางเว็บไซต์ www.คิดใหญ่ไปให้สุดราง.net
“ภารกิจหลักของ สทร. คือ การพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของไทย เราคาดหวังว่าอุตสาหกรรมนี้จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถยกระดับขีดความสามารถของไทยให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมระบบรางในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมระบบราง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรีบดำเนินการ โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักในกลุ่มเยาวชนซึ่งจะเป็นกำลังหลักของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต เราจึงริเริ่มจัดโครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์การพัฒนาระบบราง และหวังว่ากิจกรรมนำร่องครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของระบบราง และมองเห็นโอกาสด้านอาชีพในอุตสาหกรรมใหม่นี้” ดร.จุลเทพ กล่าว
นอกจากนี้ ดร.จุลเทพ ยังกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของ สทร.ว่า สทร. เป็นสถาบันที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กระทรวงคมนาคม ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ.2564 เพื่อบูรณาการความเชี่ยวชาญและทรัพยากรจากทุกภาคส่วน ในการยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ โดยมีภารกิจหลักที่สำคัญคือ การสร้างยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบราง เพื่อสนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติและระดับกระทรวง โดยบูรณาการทิศทางและความร่วมมือของ 3 ภาคส่วน ประกอบด้วย ส่วนของผู้กำหนดนโยบาย ส่วนของผู้เดินรถและอุตสาหกรรม และส่วนของนักวิจัย/นักวิชาการ ให้ครอบคลุมทั้งบริบทด้านเทคโนโลยีระบบราง บริบทด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดลำดับความสำคัญอย่างชัดเจนและเป็นระบบ พร้อมกำหนด Roadmap ตัวชี้วัด มาตรการ กลไก และผู้เล่นสำคัญในระบบนิเวศการสร้างอุตสาหกรรมระบบราง
ภารกิจหลักของ สทร. ยังประกอบด้วย การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การสร้างมาตรฐานระบบรางและระบบการทดสอบด้านระบบราง การร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศในการรับ แลกเปลี่ยน และถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบราง รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรด้านระบบราง และการจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบรางด้วย
ที่ผ่านมา สทร. ได้สร้างความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกเพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบราง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรผ่านการฝึกอบรม และการส่งเสริมหลักสูตรด้านการศึกษาเกี่ยวกับระบบราง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมระบบรางซึ่งใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทยและใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ อีกทั้งยังมีการประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยในเบื้องต้นว่า จะสามารถเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมระบบรางตามมาตรฐานระดับโลกได้หรือไม่
“ตอนนี้ผู้ประกอบการและแรงงานในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์กำลังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า การสร้างอุตสาหกรรมระบบรางโดยอาศัยเทคโนโลยีที่เป็นของคนไทย จะสามารถช่วยแก้ปัญหาผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมได้อีกทางหนึ่ง และอุตสาหกรรมนี้จะเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” ผอ. สทร. กล่าวทิ้งท้าย :Cr;มณสิการ รามจันทร์