วันจันทร์, มิถุนายน 9, 2025

หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยออนไลน์

หน้าแรก บล็อก หน้า 1409

“บีทีเอส” ดูแลคนพิการจนถึงสถานีปลายทาง

0

http://www.natethip.com/news.php?id=4871
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

 

 

ปิดฉากอีกราย! อาคเนย์ประกันภัย พิษกรมธรรม์ “เจอ จ่าย จบ”

0

http://www.natethip.com/news.php?id=4870
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

 

 

 

“ปรัชญา” ควงแขน “คงทรัพย์” เข้าค่ายเทนนิสเตรียมทีมชาติ

0

พิมพ์ไทยออนไลน์// การแข่งขันคัดเลือกนักเทนนิส เตรียมความพร้อมสำหรับทีมชาติไทยชุดใหญ่ ประจำปี 2565 ที่ ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ เมืองทองธานี ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 27 ม.ค. เป็นรอบแบ่งกลุ่ม 12 คนหรือรอบสุดท้าย เพื่อคัดนักหวดที่ได้อันดับ 1 ของแต่ละกลุ่ม เข้าโครงการ “เตรียมความพร้อมสำหรับทีมชาติไทย” ของสมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย
ไฮไลท์ประจำวันอยู่ที่ประเภทชายเดี่ยว กลุ่ม บี ระหว่าง ปรัชญา อิสโร จากสงขลา และ เครดิต ไชยรินทร์ จาก กทม. โดยมีโควตาเข้าโครงการ “เตรียมความพร้อมสำหรับทีมชาติไทย” เป็นเดิมพัน เพราะกลุ่มนี้มีนักกีฬาเพียง 2 คน หลังจากอีกคนได้ถอนตัวออกไปเพราะมีอาการบาดเจ็บ และผลปรากฏว่า ปรัชญา ที่เก็บชัยเซตแรก จากนั้นยังชนะการดวลไทเบรกในเซตสอง ทำให้ ปรัชญา ชนะ 2-0 เซต 6-2 และ 7-6(4) เข้าโครงการไปตามระเบียบ

นอกจากนี้ยังมีนักเทนนิสชายอีกคนที่ได้สิทธิ์เข้าโครงการคือ คงทรัพย์ คงคา จาก กทม. ประเภทชายเดี่ยว กลุ่ม เอ และ คงทรัพย์ ชนะ สิรวิชญ์ สุดเนตร จากอำนาจเจริญ 2 เซตรวด 6-1 และ 6-1 โดยกลุ่มนี้มีนักเทนนิสเพียง 2 คนเช่นกัน หลังจากถอนตัวออกไป 1 คน เพราะมีอาการบาดเจ็บ
ประเภทหญิงเดี่ยว กลุ่ม บี ไทร่า ลิธิบี จาก กทม. แข่งขันนัดแรกกับ ตปณีย์ บุญวัฒน์ จากนนทบุรี ที่แพ้มาแล้ว 1 นัด และ ไทร่า ที่ทำได้ดีในจังหวะสำคัญ ชนะ 2-0 เซต 7-6(5) และ 6-4 ไทร่า มีผลงานชนะ 1 นัด เท่ากับผู้เล่นอีกคนในกลุ่มนี้คือ ธนัชพร ยังโหมด ส่วน ตปณีย์ แพ้ 2 นัด โดยคู่ชิงโควาตาเข้าโครงการระหว่าง ไทร่า กับ ธนัชพร แข่งขันกันวันที่ 28 ม.ค. เริ่มเวลา 10.00 น.

คู่อื่น นักเทนนิสที่คว้าชัยยังได้ลุ้นแข่งขันวันสุดท้าย (28 ม.ค.) ส่วนผลการแข่งขันล่าสุด มีดังนี้ ประเภทชายเดี่ยว กลุ่ม ซี จิรัฏฐ์ นวสิริสมบูรณ์ (กทม.) ชนะ ธนกร ศรีรัตน์ (กทม.) 6-2, 6-1 กลุ่ม ดี ศุภวัฒน์ แซ่อุ้ย (ภูเก็ต) ชนะ แทนตะวัน ทัดเดโอ มายอลิ แม็คจิโอลิ (กทม.) 6-2, 6-1 ทางด้านประเภทหญิงเดี่ยว กลุ่ม ซี ธมจันทร์ มอมขุนทด (นครราชสีมา) ชนะ เมลิสสา เซ (กทม.) 6-2, 6-4 และกลุ่ม ดี วิจิตราภรณ์ วิมุกตานนท์ (พิษณุโลก) ชนะ ณัฐพัชร์ ผิวบางรักษ์ (กทม.) 7-6(4), 6-1

Cr..วิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

มาเลเซียเจ้าภาพ จัดขนไก่ชิงแชมป์เอเชีย 2022 คุมเข้มโควิด

0

พิมพ์ไทยออนไลน์// แบดมินตันเอเชีย ให้สิทธิ์ สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งมาเลเซีย จัดแบดทีมเอเชีย วันที่ 15-20 ก.พ.นี้ เป็นรายการคัดเลือกทีมในทวีปเอเชีย เข้าสู่ศึกโธมัส-อูเบอร์ คัพ 2022 รอบสุดท้าย เดือนพ.ค. ที่ไทย
คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล เผย แบดมินตันเอเชีย มอบสิทธิ์ ให้สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งมาเลเซีย เป็นเจ้าภาพจัดแบดมินตันประเภททีมชิงแชมป์เอเชีย 2022 วันที่ 15-20 กุมภาพันธ์นี้ ที่รัฐซาลังงอร์ ซึ่งจะเป็นรายการคัดเลือกทีมในทวีปเอเชีย เข้าสู่ศึกโธมัส-อูเบอร์ คัพ 2022 รอบสุดท้าย ที่ไทย จะเป็นเจ้าภาพ เดือนพฤษภาคมนี้
คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการคณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ ไอโอซีเมมเบอร์ รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า แบดมินตันเอเชีย ยืนยันว่า ได้มอบสิทธิ์ ให้ สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งมาเลเซีย เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันแบดมินตันประเภททีมชิงแชมป์เอเชีย 2022 ระหว่างวันที่ 15-20 กุมภาพันธ์นี้ ที่เซเตีย ซิตี้ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ในรัฐซาลังงอร์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ กล่าวต่อว่า การจัดการแข่งขันแบดมินตันประเภททีมชิงแชมป์เอเชียครั้งนี้ สมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งมาเลเซีย และรัฐซาลังงอร์ จะเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ภายใต้ระบบป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เข้มงวด และรายการนี้ เป็นการคัดเลือกทีมในทวีปเอเชีย ไปเข้าร่วมแข่งขันแบดมินตันประเภททีมชิงแชมป์โลก โธมัส-อูเบอร์ คัพ 2022 รอบสุดท้าย ที่ไทย ระหว่างวันที่ 8-15 พฤษภาคมนี้
สำหรับรายการนี้ ทีมแบดมินตันทีมหญิงทีมชาติไทย ถูกวางให้เป็น ทีมวางอันดับ 3 ของรายการ ต่อจาก ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ตามลำดับ
ทั้งนี้ แบดมินตันเอเชีย ได้ให้การชื่นชม แนวทางของ สมาคมกีฬาแบดมินตันฯ ซึ่งมี คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล เป็นนายกสมาคมฯ ที่กล้า ใช้การแข่งขันในรูปแบบใหม่ แบดมินตันรายการระดับนานาชาติ 3 รายการใหญ่ โยเน็กซ์ ไทยแลนด์ โอเพ่น, โตโยต้า ไทยแลนด์ โอเพ่น และ บีดับเบิ้ลยูเอฟ เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอลส์ 2020 แบบต่อเนื่อง เมื่อต้นปี 2021
ล่าสุด สมาคมกีฬาแบดมินตันอินโดนีเซีย ก็ได้ใช้ระบบบับเบิ้ล แบบของไทย จัดการแข่งขัน อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส, อินโดนีเซีย โอเพ่น และ บีดับเบิ้ลยูเอฟ เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอลส์ 2021 ป้องกันโควิด-19 ในมาตรฐานเดียวกัน เมื่อปลายปีที่แล้ว จนประสบความสำเร็จ อย่างยิ่ง
ต้องขอบคุณ คุณหญิงปัทมา ที่เป็นผู้นำแบดมินตันและกีฬาไปทั่วโลก ทำให้มั่นใจ การแข่งขันแบดมินตันประเภททีมชิงแชมป์เอเชีย 2022 เดือนกุมภาพันธ์นี้ มาเลเซีย เป็นเจ้าภาพ จะมีรูปแบบไม่แตกต่างกัน เพื่อทำให้นักกีฬา เจ้าหน้าที่ทุกคน ที่เข้าแข่งขัน เกิดความปลอดภัยจากไวรัสโควิด-19 แบบสูงสุด

Cr..วิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

 

 

“ราชวินิตบางเขน” ประกาศนักเตะติดโควิด ถอนตัวฟุตบอลกรมพละ

0

พิมพ์ไทยออนไลน์// สโมสรศรีสมานเอฟซี ร.ร.ราชวินิตบางเขนประกาศ!! นักบอลติดโควิด !!!ถอนตัวการแข่งขันฟุตบอลกรมพละรับผิดชอบสังคมป้องกันแพร่กระจาย
เนื่องด้วย สโมสรศรีสมานฟุตบอลคลับ ศูนย์ฝึกกีฬาฟุตบอลของ โรงเรียนราชวินิตบางเขน ได้ทำการตรวจ ATK เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตามมาตราการความปลอดภัย การแข่งขันกีฬาฟุตบอลระหว่างโรงเรียนของกรมพลศึกษา ปี 2564 รุ่น 16 ปี ข. และ 14 ปี ก. ระหว่างวันที่ 27 มกราคม – 10 กุมภาพพันธ์ 2565 ผลการตรวจพบว่ามีนักกีฬาจำนวนหนึ่งได้รับเชื้อ โควิด-19 จึงทำให้นักกีฬา ทีมงาน และบุคลากรที่อยู่ในสโมสรศรีสมานฟุตบอลคลับ ร่วมกันทั้งหมดจัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด และยังไม่มีอาการจึงต้องกักตัวเพื่อสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของสังคมส่วนรวม ผู้แข่งขัน และ ผู้ร่วมงานทั้งหมด เพื่อลดโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
ขอสละสิทธิ์เข้าร่วมการแข่ง ขันกีฬาฟุตบอลระหว่างโรงเรียนของกรมพลศึกษา ปี 2564 รุ่น 16 ปี ข. และ รุ่น 14 ปี ก.ทุกนัดเพื่อทำการ กักตัวอยู่ในสโมสรศรีสมานฟุตบอลคลับ เป็นเวลา 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม–9 กุมภาพันธ์ 2565 โดยจะอยู่ในมาตรการความดูแลอย่างใกล้ชิดจาก หน่วยงานสาธารณะสุข จ.นนทบุรี ใช้ชีวิตปกติ เรียนออนไลน์ ฝึกซ้อมปกติ โดยมีแนวทางปฏิบัติ Sandbox Safety Zone in Blub “แซนด์บ็อกซ์ เซฟตี้โซน” ในศูนย์ฝึกกีฬาฟุตบอลสโมสรศรีสมานฟุตบอลคลับ คัดแยกผู้ติดเชื้อ และรักษาจนกระทั่งทุกคนมีความปลอดภัย 100 %

Cr..วิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

 

 

“ฮอนด้า” คอนเฟิร์ม “มาร์เกซ” พร้อมบิดพรีซีซั่นเทสต์ ที่มาเลเซีย

0

พิมพ์ไทยออนไลน์// ยอดทีมแข่ง เรปโซล ฮอนด้า แจ้งข่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมส่ง มาร์ค มาเกซ แชมป์โลก 8 สมัย ชาวสแปนิช เข้าร่วมโปรแกรมการทดสอบรถแข่งโมโตจีพี ฤดูกาล 2022 รอบพรีซีซั่นเทสต์ ที่สนามเซปังฯ มาเลเซีย วันที่ 5 ก.พ. นี้
ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ ยอดนักบิดชาวสแปนิชได้รับไฟเขียวจากทีมแพทย์ให้คัมแบ็กการฝึกซ้อมบนรถจักรยานยนต์อีกครั้ง เริ่มจากรถวิบาก ก่อนที่จะขับขี่ Honda RC213V-S ที่ปอร์ติเมา และ Honda CBR600RR ที่อรากอน
ล่าสุด เมื่อวันจันทร์ที่ 24 มกราคม ที่ผ่านมา เจ้าของหมายเลข 93 เข้ารับการตรวจร่างกายอีกครั้ง และผลที่ออกมาก็ยืนยันชัดเจนว่า ผลการรักษาประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว และเจ้าตัวก็เตรียมพร้อมที่จะกลับมาขับขี่รถแข่งโมโตจีพีอย่าง Honda RC213V เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่คว้าชัยชนะที่เอมิเลีย-โรมันญ่า กรังด์ปรีซ์ เดือนตุลาคมเมื่อปีก่อน
โดยทางทีมแข่ง เรปโซล ฮอนด้า เตรียมส่งแชมป์โลก 8 สมัย พร้อมด้วย โปล เอสปาร์กาโร่ นักบิดสแปนิช หมายเลข 44 เข้าร่วมโปรแกรมพรีซีซั่นเทสต์ ที่สนามเซปัง อินเตอเนชั่นแนล เซอร์กิต มาเลเซีย วันที่ 5 กุมภาพันธ์ นี้ ก่อนจะมุ่งหน้าสู่สนามแข่งใหม่ในรอบการทดสอบ ที่มันดาลิกา อินโดนีเซียในสัปดาห์ถัดไป
#Honda #RepsolHonda #MM93 #PE44 #MotoGP #WhatStopsYou #มุ่งไปอย่าให้อะไรมาหยุด #RaceToTheDream

Cr..วิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

 

 

“เหมืองทองอัครา” คัมแบ็ค!

0

http://www.natethip.com/news.php?id=4869
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

มองข้ามช็อต “เลือกตั้งใหม่” ฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลสักพัก! รัฐประหารอีก! เบรคคนรุ่นใหม่

0

http://www.natethip.com/news.php?id=4868
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

 

 

มหากาพย์บ้าน “เอื้ออาทร” (ภาคต่อ) จับพิรุธ!การเคหะโต้ทุจริต-ฟอกขาวโครงการก่อนปัดฝุ่นผุด”เคหะเปี่ยมสุข สมุทรปราการ”

0

พิมพ์ไทยออนไลน์ // เหลือบไปเห็นข่าวประชาพันธ์จากการเคหะแห่งชาติ(กคช.) ที่ชี้แจงสื่อมวลชนกรณีถูกบริษัทเอกชนร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปมที่การเคหะฯ บุกรุกเข้าไปยึดโครงการบ้านเอื้ออาทร เทพารักษ์4 เพื่อปัดฝุ่นดำเนินโครงการ “บ้านเคหะสุขเกษม” ที่เตรียมเปิดขายให้ข้าราชการ ลูกจ้างรัฐที่เกษียณอายุได้เข้ามาอยู่อาศัย

โดยผู้ว่าการเคหะฯ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ยืนยันว่า การเคหะแห่งชาติได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่ได้เป็นการบุกรุกยึดโครงการ แต่เป็นโครงการที่การเคหะเป็นเจ้าของอยู่แล้ว เพราะได้ทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการกับบริษัทเอกชนคือ บริษัท เพียงประกายก่อสร้าง จำกัด เมื่อปี 2549 แต่ท้ายที่สุด บริษัทไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จตามสัญญา แม้จะขยายเวลาก่อสร้างให้แล้วกว่า 3 ปี แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ จึงต้องใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาและดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในที่สุด ซึ่งปัจจุบันคดีความฟ้องร้องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง
สูงสุด

ก่อนจะย้อนรอยถึงที่มาโครงการว่า ได้ทำสัญญากับบริษัทเอกชนเพื่อจัดสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ (เทพารักษ์ 4) ประกอบด้วยอาคารชุดพักอาศัยสูง 5 ชั้น ขนาด 33 ตารางเมตร จำนวน 5,830 หน่วย วงเงิน 2,448 ล้านบาท โดยเอกชนต้องจัดหาที่ดินและเงินทุนเพื่อก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ได้ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วนคือ

ส่วนที่ 1 การจัดหาที่ดินที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้กับการเคหะจำนวน 9 แปลง เนื้อที่รวม 124 ไร่เศษ ซึ่งบริษัทได้ทำการโอน ที่ดินตามสัญญาเมื่อวันที่ 30 พ.ค.49 และการเคหะได้จ่ายค่าที่ดินไปแล้ว จึงถือว่า การเคหะแห่งชาติเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยสมบูรณ์

ส่วนที่ 2 การก่อสร้างโครงการซึ่งเอกชนจะเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ระยะที่ 1 และ 2 ก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัยจำนวน 4,529 หน่วย ค่าก่อสร้าง 1,589 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 540 วัน และได้มีการขอขยายเวลาก่อสร้างออกไปอีกกว่า 900 วัน รวม 1,440 วัน มีการแก้ไขสัญญาขอลดหน่วยก่อสร้างโครงการระยะที่ 1 เหลือ 896 หน่วย และ ระยะที่ 2 เหลือ 986 หน่วย แต่เมื่อสิ้นสุดสัญญาก่อสร้าง มีความคืบหน้าไปเพียง 70% จึงได้ยกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกค่าเสียหาย ส่วนระยะที่ 3 1,121 หน่วย วงเงินก่อสร้าง 384 ล้าน บาทนั้น ได้ยกเลิกโครงการไป เหตุที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างต่อได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งปลูกสร้างในโครงการฯ จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการเคหะแห่งชาติตามสัญญา เนื่องจากมีการส่งมอบงวดงานให้กับการเคหะแห่งชาติแล้ว

พร้อมกับระบุด้วยว่า การเคหะได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับบริษัทต่อศาลปกครองเมื่อปี 2556 และศาลได้มีคำพิพากษาเมื่อ 24 ก.ย.2562 ให้บริษัทจ่ายค่าเสียหายจากการผิดสัญญา 131.55 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนการเคหะต้องชำระเงินแก่บริษัทเป็นค่าก่อสร้างที่ยังไม่ได้เบิกจำนวน 28.71 ล้านบาท แต่ทั้งสองฝ่ายได้ใช้สิทธิ์อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ขณะนี้คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ดังนั้นการเข้าไปปรับปรุงโครงการของการเคหะนั้น ย่อมสามารถดำเนินการได้ ไม่เกี่ยวข้องกับคดีความที่ฟ้องร้องกันอยู่

อ่านแล้วก็ให้เคลิ้มตาม หากโครงการนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างการเคหะฯและบริษัทเอกชนธรรมดาๆ แต่บริษัทเอกชนไม่สามารถดำเนินการได้ตามสัญญา แม้จะขยายเวลาก่อสร้างให้แล้วกว่า 3 ปีก็ยังทำไม่ได้ การเคหะฯย่อมใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกค่าเสียหายได้

แต่ประเด็นที่ทั่นผู้ว่าเคหะไม่ได้พูดถึงก็คือ..”จริงหรือไม่ที่โครงการนี้มีขบวนการบีบให้บริษัทเอกชนต้องจัดซื้อที่ดินตาบอดนอกเหนือจากสัญญาโครงการที่มีต่อกัน และยังนำเอาบริษัทรับเหมาก่อสร้าง “กำมะลอ”เข้ามาร่วมสังฆกรรมเบิกงบกินหัวคิวมีการสั่งให้ปรับผังโครงการก่อสร้าง โยกพื้นที่ก่อสร้างเพื่อเปิดทางให้มีการนำเอาที่ดินตาบอดเข้ามาผนวกร่วมในโครงการจนนำไปสู่การฟ้องร้องกันนัวเนียในช่วงปี 2552 ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาให้การเคหะพ่ายแพ้คดีและต้องถอนบริษัทรับเหมาก่อสร้างดังกล่าวออกไป”

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องที่บอร์ดและฝ่ายบริหารการเคหะฯสั่งหั่นโครงการลงมาเหลือ 1 ใน 3 ของสัญญาโดยอ้างว่า บริษัทเอกชนก่อสร้างได้ล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญา ทั้งที่การก่อสร้างโครงการในระยะที่ 1 และ 2 จำนวน 84 อาคาร 4,500 กว่าหน่วยก่อนหน้านั้น บริษัทสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เร็วกว่าแผนภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี แต่เมื่อถูกสั่งให้ลดขนาดโครงการลงมาเหลือแค่ 1 ใน 3 ของสัญญา คือให้ทำแค่ 42 อาคาร 900
กว่าหน่วย ก็ทำเอาบริษัทล้มทั้งยืน ก่อนจะนำมาซึ่งการยุติการก่อสร้าง และถูกบอกเลิกสัญญาตามมา โดยที่ทั้งบริษัทและการเคหะ ต่างก็ใช้สิทธิ์ฟ้องร้องกันนัวเนียตามมา

ในระหว่างที่ยังรอคดีความในชั้นศาลปกครองสูงสุดนั้น จู่ๆ การเคหะกลับไปลากเอาบริษัทรั่บเหมาก่อสร้างรายใหม่เข้ามาดำเนินการปรับปรุงอาคารเพื่อปรับเปลี่ยนเป็นโครงการบ้านเคหะเปี่ยมสุข โดยมีแผนที่จะขายโครงการให้แก่ข้าราชการ ลูกจ้างรัฐที่เกษียณแล้วมาใช้ โดยอ้างเป็นกรรมสิทธิ์ของการเคหะอยู่แล้ว ทั้งที่ยังมีคดีความฟ้องร้องกันอยู่ โดยบริษัทเอกชนยังคงยืนยัน ตนเองยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตั้งโครงการ โดยยืนยันว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในอดีตไปยังการเคหะนั้น เป็นการโอนที่ดินอย่างมีเงื่อนไข ตามหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนที่วางไว้ เมื่อทั้งสองฝ่าย ไม่ประสงค์จะดำเนินโครงการต่อก็ต้องกลับไปสู่สถานะเดิมของแต่ละฝ่าย เพราะโครงการนี้เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หาใช่โครงการก่อสร้างที่การเคหะตั้งงบขึ้นมาดำเนินการแล้วว่าจ้างเอกชนหรือรับเหมาเข้ามาดำเนินการ ซึ่งหากเอกชนไม่ทำตามสัญญาย่อมสามารถใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาได้ทุกเมื่อ

เหนือสิ่งอื่นใด หากทุกฝ่ายจะได้ย้อนกลับไปพิจารณาบทเรียนจาก “ค่าโง่โฮปเวลล์” ที่การรถไฟและกระทรวงคมนาคม ใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญากับบริษัทเอกชน ด้วยมูลเหตุที่เอกชนก่อสร้างโครงการล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญาจึงต้องใช้สิทธิ์บอกเลิกหสัญญาและสั่งห้ามเอกชนเข้าโครงการ ก่อนจะนำมาซึ่งการฟ้องร้องกันนัวเนีย จนในท้ายที่สุดกลับกลายมาเป็นค่าโง่ เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคาสั่งการการรถไฟฯและกระทรวงคมนารคมต้องร่วมกันชดใช้ความเสียหายให้แก่เอกชน วงเงินกว่า 25,000 ล้านบาท (เงินต้น 11,888 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ตั้งแต่ปี 2552)นั้น

หากเทียบเคียงกับกรณีที่การการเคหะใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาโครงการนี้และอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของโครงการทั้งที่ตลอดระยะเวลากว่า 11-12 ปีที่ผ่านมา กลับไม่เคยได้ลงไปดูแลโครงการ ก่อนจะนำเอาผู้รับเหมารายใหม่เข้าไปปรับปรุงอาคาร เพื่อผุดโครงการใหม่นั้น ดูเหมือนเหตุผลในการบอกเลิกสัญญาแทบจะถอดแบบมาจากโครงการโฮปเวลล์ทุกกระเบียดนิ้ว

 

จุดนี้เองที่หลายฝ่ายแสดงความกังวล และย้อนถามไปยังการเคหะแห่งชาติว่า ไม่คิดจะหารือประเด็นข้อกฎหมายไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด หรือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนดำเนินการบ้างเลยหรือ?

อย่างน้อยจะได้เป็นเกราะกำบังป้องกันตนเองไม่ทำให้เกิดค่าโง่เอาได้ในอนาคต เพราะอย่าลืมว่า โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการนี้ คือ 1 ในมหากาพย์ทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร 600,000 หน่วย ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพิ่งจะมีคำพิพากษาฟันอดีต รมต.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) และลิ่วล้อบริวารผู้เกี่ยวข้องไปนับ 10 รายไปปลายปีก่อน ขณะนี้ยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์คดีก่อนอยู่เลย

จึงเป็นไปได้หรือที่โครงการนี้จะมีการดำเนินการอย่างใสซื่อ ไม่มีนอกมีใน ยิ่งรัฐบาลเองมีบทเรียนกรณี “ค่าโง่โฮปเวลล์” กว่า 25,000 ล้านบาทที่เป็นผลมาจากการใสิทธิ์บอกเลิกสัญญาโครงการร่วมลงทุนกับเอกชน โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ที่จนป่านนี้ ทั้งการรถไฟฯ กระทรวงคมนาคม ยังปิดบัญชีไม่ลงว่า ใครจะต้องรับผิดชอบด้วยแล้ว

การจะผลีผลามทำอะไรลงไป อย่างน้อยจึงควรหา “เกราะกำบัง” ตนเองเอาไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ จริงไหมท่านผู้ว่าฯ!