วันเสาร์, พฤษภาคม 10, 2025

หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยออนไลน์

หน้าแรกข่าวเด่นประเด็นร้อนข่าวกีฬามหากาพย์บ้าน “เอื้ออาทร” (ภาคต่อ) จับพิรุธ!การเคหะโต้ทุจริต-ฟอกขาวโครงการก่อนปัดฝุ่นผุด”เคหะเปี่ยมสุข สมุทรปราการ”

มหากาพย์บ้าน “เอื้ออาทร” (ภาคต่อ) จับพิรุธ!การเคหะโต้ทุจริต-ฟอกขาวโครงการก่อนปัดฝุ่นผุด”เคหะเปี่ยมสุข สมุทรปราการ”

พิมพ์ไทยออนไลน์ // เหลือบไปเห็นข่าวประชาพันธ์จากการเคหะแห่งชาติ(กคช.) ที่ชี้แจงสื่อมวลชนกรณีถูกบริษัทเอกชนร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ปมที่การเคหะฯ บุกรุกเข้าไปยึดโครงการบ้านเอื้ออาทร เทพารักษ์4 เพื่อปัดฝุ่นดำเนินโครงการ “บ้านเคหะสุขเกษม” ที่เตรียมเปิดขายให้ข้าราชการ ลูกจ้างรัฐที่เกษียณอายุได้เข้ามาอยู่อาศัย

โดยผู้ว่าการเคหะฯ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ยืนยันว่า การเคหะแห่งชาติได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่ได้เป็นการบุกรุกยึดโครงการ แต่เป็นโครงการที่การเคหะเป็นเจ้าของอยู่แล้ว เพราะได้ทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการกับบริษัทเอกชนคือ บริษัท เพียงประกายก่อสร้าง จำกัด เมื่อปี 2549 แต่ท้ายที่สุด บริษัทไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการให้แล้วเสร็จตามสัญญา แม้จะขยายเวลาก่อสร้างให้แล้วกว่า 3 ปี แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ จึงต้องใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาและดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในที่สุด ซึ่งปัจจุบันคดีความฟ้องร้องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง
สูงสุด

ก่อนจะย้อนรอยถึงที่มาโครงการว่า ได้ทำสัญญากับบริษัทเอกชนเพื่อจัดสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรจังหวัดสมุทรปราการ (เทพารักษ์ 4) ประกอบด้วยอาคารชุดพักอาศัยสูง 5 ชั้น ขนาด 33 ตารางเมตร จำนวน 5,830 หน่วย วงเงิน 2,448 ล้านบาท โดยเอกชนต้องจัดหาที่ดินและเงินทุนเพื่อก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ได้ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วนคือ

ส่วนที่ 1 การจัดหาที่ดินที่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้กับการเคหะจำนวน 9 แปลง เนื้อที่รวม 124 ไร่เศษ ซึ่งบริษัทได้ทำการโอน ที่ดินตามสัญญาเมื่อวันที่ 30 พ.ค.49 และการเคหะได้จ่ายค่าที่ดินไปแล้ว จึงถือว่า การเคหะแห่งชาติเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยสมบูรณ์

ส่วนที่ 2 การก่อสร้างโครงการซึ่งเอกชนจะเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ระยะที่ 1 และ 2 ก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัยจำนวน 4,529 หน่วย ค่าก่อสร้าง 1,589 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 540 วัน และได้มีการขอขยายเวลาก่อสร้างออกไปอีกกว่า 900 วัน รวม 1,440 วัน มีการแก้ไขสัญญาขอลดหน่วยก่อสร้างโครงการระยะที่ 1 เหลือ 896 หน่วย และ ระยะที่ 2 เหลือ 986 หน่วย แต่เมื่อสิ้นสุดสัญญาก่อสร้าง มีความคืบหน้าไปเพียง 70% จึงได้ยกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกค่าเสียหาย ส่วนระยะที่ 3 1,121 หน่วย วงเงินก่อสร้าง 384 ล้าน บาทนั้น ได้ยกเลิกโครงการไป เหตุที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างต่อได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งปลูกสร้างในโครงการฯ จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของการเคหะแห่งชาติตามสัญญา เนื่องจากมีการส่งมอบงวดงานให้กับการเคหะแห่งชาติแล้ว

พร้อมกับระบุด้วยว่า การเคหะได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับบริษัทต่อศาลปกครองเมื่อปี 2556 และศาลได้มีคำพิพากษาเมื่อ 24 ก.ย.2562 ให้บริษัทจ่ายค่าเสียหายจากการผิดสัญญา 131.55 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนการเคหะต้องชำระเงินแก่บริษัทเป็นค่าก่อสร้างที่ยังไม่ได้เบิกจำนวน 28.71 ล้านบาท แต่ทั้งสองฝ่ายได้ใช้สิทธิ์อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ขณะนี้คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ดังนั้นการเข้าไปปรับปรุงโครงการของการเคหะนั้น ย่อมสามารถดำเนินการได้ ไม่เกี่ยวข้องกับคดีความที่ฟ้องร้องกันอยู่

อ่านแล้วก็ให้เคลิ้มตาม หากโครงการนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างการเคหะฯและบริษัทเอกชนธรรมดาๆ แต่บริษัทเอกชนไม่สามารถดำเนินการได้ตามสัญญา แม้จะขยายเวลาก่อสร้างให้แล้วกว่า 3 ปีก็ยังทำไม่ได้ การเคหะฯย่อมใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกค่าเสียหายได้

แต่ประเด็นที่ทั่นผู้ว่าเคหะไม่ได้พูดถึงก็คือ..”จริงหรือไม่ที่โครงการนี้มีขบวนการบีบให้บริษัทเอกชนต้องจัดซื้อที่ดินตาบอดนอกเหนือจากสัญญาโครงการที่มีต่อกัน และยังนำเอาบริษัทรับเหมาก่อสร้าง “กำมะลอ”เข้ามาร่วมสังฆกรรมเบิกงบกินหัวคิวมีการสั่งให้ปรับผังโครงการก่อสร้าง โยกพื้นที่ก่อสร้างเพื่อเปิดทางให้มีการนำเอาที่ดินตาบอดเข้ามาผนวกร่วมในโครงการจนนำไปสู่การฟ้องร้องกันนัวเนียในช่วงปี 2552 ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาให้การเคหะพ่ายแพ้คดีและต้องถอนบริษัทรับเหมาก่อสร้างดังกล่าวออกไป”

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องที่บอร์ดและฝ่ายบริหารการเคหะฯสั่งหั่นโครงการลงมาเหลือ 1 ใน 3 ของสัญญาโดยอ้างว่า บริษัทเอกชนก่อสร้างได้ล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญา ทั้งที่การก่อสร้างโครงการในระยะที่ 1 และ 2 จำนวน 84 อาคาร 4,500 กว่าหน่วยก่อนหน้านั้น บริษัทสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เร็วกว่าแผนภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี แต่เมื่อถูกสั่งให้ลดขนาดโครงการลงมาเหลือแค่ 1 ใน 3 ของสัญญา คือให้ทำแค่ 42 อาคาร 900
กว่าหน่วย ก็ทำเอาบริษัทล้มทั้งยืน ก่อนจะนำมาซึ่งการยุติการก่อสร้าง และถูกบอกเลิกสัญญาตามมา โดยที่ทั้งบริษัทและการเคหะ ต่างก็ใช้สิทธิ์ฟ้องร้องกันนัวเนียตามมา

ในระหว่างที่ยังรอคดีความในชั้นศาลปกครองสูงสุดนั้น จู่ๆ การเคหะกลับไปลากเอาบริษัทรั่บเหมาก่อสร้างรายใหม่เข้ามาดำเนินการปรับปรุงอาคารเพื่อปรับเปลี่ยนเป็นโครงการบ้านเคหะเปี่ยมสุข โดยมีแผนที่จะขายโครงการให้แก่ข้าราชการ ลูกจ้างรัฐที่เกษียณแล้วมาใช้ โดยอ้างเป็นกรรมสิทธิ์ของการเคหะอยู่แล้ว ทั้งที่ยังมีคดีความฟ้องร้องกันอยู่ โดยบริษัทเอกชนยังคงยืนยัน ตนเองยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตั้งโครงการ โดยยืนยันว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในอดีตไปยังการเคหะนั้น เป็นการโอนที่ดินอย่างมีเงื่อนไข ตามหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนที่วางไว้ เมื่อทั้งสองฝ่าย ไม่ประสงค์จะดำเนินโครงการต่อก็ต้องกลับไปสู่สถานะเดิมของแต่ละฝ่าย เพราะโครงการนี้เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หาใช่โครงการก่อสร้างที่การเคหะตั้งงบขึ้นมาดำเนินการแล้วว่าจ้างเอกชนหรือรับเหมาเข้ามาดำเนินการ ซึ่งหากเอกชนไม่ทำตามสัญญาย่อมสามารถใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาได้ทุกเมื่อ

เหนือสิ่งอื่นใด หากทุกฝ่ายจะได้ย้อนกลับไปพิจารณาบทเรียนจาก “ค่าโง่โฮปเวลล์” ที่การรถไฟและกระทรวงคมนาคม ใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญากับบริษัทเอกชน ด้วยมูลเหตุที่เอกชนก่อสร้างโครงการล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญาจึงต้องใช้สิทธิ์บอกเลิกหสัญญาและสั่งห้ามเอกชนเข้าโครงการ ก่อนจะนำมาซึ่งการฟ้องร้องกันนัวเนีย จนในท้ายที่สุดกลับกลายมาเป็นค่าโง่ เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคาสั่งการการรถไฟฯและกระทรวงคมนารคมต้องร่วมกันชดใช้ความเสียหายให้แก่เอกชน วงเงินกว่า 25,000 ล้านบาท (เงินต้น 11,888 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ตั้งแต่ปี 2552)นั้น

หากเทียบเคียงกับกรณีที่การการเคหะใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาโครงการนี้และอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของโครงการทั้งที่ตลอดระยะเวลากว่า 11-12 ปีที่ผ่านมา กลับไม่เคยได้ลงไปดูแลโครงการ ก่อนจะนำเอาผู้รับเหมารายใหม่เข้าไปปรับปรุงอาคาร เพื่อผุดโครงการใหม่นั้น ดูเหมือนเหตุผลในการบอกเลิกสัญญาแทบจะถอดแบบมาจากโครงการโฮปเวลล์ทุกกระเบียดนิ้ว

 

จุดนี้เองที่หลายฝ่ายแสดงความกังวล และย้อนถามไปยังการเคหะแห่งชาติว่า ไม่คิดจะหารือประเด็นข้อกฎหมายไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด หรือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนดำเนินการบ้างเลยหรือ?

อย่างน้อยจะได้เป็นเกราะกำบังป้องกันตนเองไม่ทำให้เกิดค่าโง่เอาได้ในอนาคต เพราะอย่าลืมว่า โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการนี้ คือ 1 ในมหากาพย์ทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร 600,000 หน่วย ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพิ่งจะมีคำพิพากษาฟันอดีต รมต.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) และลิ่วล้อบริวารผู้เกี่ยวข้องไปนับ 10 รายไปปลายปีก่อน ขณะนี้ยังอยู่ในชั้นอุทธรณ์คดีก่อนอยู่เลย

จึงเป็นไปได้หรือที่โครงการนี้จะมีการดำเนินการอย่างใสซื่อ ไม่มีนอกมีใน ยิ่งรัฐบาลเองมีบทเรียนกรณี “ค่าโง่โฮปเวลล์” กว่า 25,000 ล้านบาทที่เป็นผลมาจากการใสิทธิ์บอกเลิกสัญญาโครงการร่วมลงทุนกับเอกชน โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ที่จนป่านนี้ ทั้งการรถไฟฯ กระทรวงคมนาคม ยังปิดบัญชีไม่ลงว่า ใครจะต้องรับผิดชอบด้วยแล้ว

การจะผลีผลามทำอะไรลงไป อย่างน้อยจึงควรหา “เกราะกำบัง” ตนเองเอาไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือ จริงไหมท่านผู้ว่าฯ!

 

 

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวใหม่