พิมพ์ไทยออนไลน์ // ทั้งที่การประมูลหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม เต็มไปด้วยข้อ “กังขา”สังคม
โดยเฉพาะปม “ส่วนต่าง” ข้อเสนอทางการเงินที่บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BEM ผู้ชนะประมูลขอการการสนับสนุนจากภาครัฐจำนวน 78,287 ล้านบาท เมื่อเทียบกับข้อเสนอทางการเงินสุทธิที่กลุ่ม BSR และ BTS ที่เคยยื่นข้อเสนอเอาไว้ในการประมูลครั้งแรกเมื่อปี 2563-64 แต่ถูก รฟม.สั่งยกเลิกการประมูลไป (3 ก.พ.64) โดยเสนอขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐเพียง 9,600 ล้านบาทเท่านั้น
แตกต่างกันถึง 68,000 ล้านบาท ซึ่งนั่นหมายถึงว่า หากรัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบผลประมูลตามที่ รฟม.เสนอ โดยประเคนสัญญาสัมปทานโครงการนี้ให้กับ BEM ผู้ชนะการประมูล โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจาก BTS และองค์กรตรวจสอบต่างๆ ก็เท่ากับว่าประเทศชาติจะต้องสูญเสียงบประมาณ ผลาญภาษีไปกับการลงทุนโครงการนี้แพงกว่าที่ควรจะเป็นเกือบ 70,000 ล้านบาท
สามารถจะนำเม็ดเงินก้อนนี้ไปลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าใหม่ได้อีกทั้งสาย!
เนื้อหาโครงการคงเดิม แล้วรฟม.เปลี่ยนอะไร?
กระนั้นทั้ง รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 ดูจะ “ไม่ยี่หระ” นำพาต่อข้อมูลเหล่านี้ ยังคงเดินหน้าเร่งเจรจาเพื่อเร่ง “ปิดดีล” การประมูลให้แล้วเสร็จในระยะ 1-2 เดือนนี้ ด้วยข้ออ้างการดำเนินโครงการนี้ล่าช้าไปจากไทม์ไลน์มากว่า 2 ปีเข้าไปแล้ว และเป็นการประมูลคนละช่วงเวลา และเงื่อนไขประกวดราคาก็แตกต่างกัน จึงไม่สามารถจะนำมาเปรียบเทียบกันได้
ทั้งที่ทุกฝ่ายรู้อยู่เต็มอก การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 นั้น ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน“เนื้อหา”และรายละเอียดในการดำเนินโครงการไปแม้แต่น้อย เส้นทางก่อสร้างและรูปแบบการก่อสร้างตลอดจนรายละเอียดของการก่อสร้างทั้งหลายทั้งปวงนั้นยังคงเป็นไปตามเนื้อหาเดิมทุกกระเบียดนิ้ว แม้แต่ราคากลางก่อสร้างที่รัฐจะให้การสนับสนุนแก่ผู้ชนะประมูลที่กำหนดไว้ไม่เกิน 96,000 ล้านบาท รวมทั้งข้อเสนอทางการเงินสุทธิที่จะใช้เป็นเกณฑ์ชี้ขาดผู้ชนะประมูลก็ยังคงเจริญรอยตามข้อกำหนดเดิมทุกกระเบียดนิ้ว
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมีเพียงกรณีเดียวคือ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์คุณสมบัติด้านเทคนิคของผู้รับเหมาที่จะเข้าประมูลให้ประมูลได้ยากขึ้น มีการกำหนดเงื่อนไขเรื่องประสบการณ์ด้านงานโยธา 3 ด้าน โดย เพิ่มเติมเงื่อนไขให้ต้องเป็น “โครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเปิดให้บริการแล้ว” เท่านั้น ด้วยข้ออ้างสุดอึ้ง เพราะเป็นโครงการที่ต้องสร้างอุโมงค์ลอดเจ้าพระยา ต้องผ่านพื้นที่อ่อนไหว จำเป็นต้องได้ผู้รับเหมาที่มีศักยภาพ
ทั้งที่โครงการประมูลก่อสร้างรถไฟฟ้าสายอื่น ๆ ของรฟม.ทั้งที่เปิดประมูลก่อนหน้าอย่างรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย(หัวลำโพง-บางแคและบางซื่อ-ท่าพระ)และสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะที่ประมูลตามหลังโครงการนี้ ที่ล้วนต้องมีการก่อสร้างอุโมงค์ลอดใต้เจ้าพระยาและเส้นทางผ่านพื้นที่อ่อนไหวต่างไม่มีข้อกำหนดและเงื่อนไขเหล่านี้ และแม้แต่โครงการ สายสีส้มส่วนตะวันออกเอง ที่รฟม.ประมูลไปเมื่อปี 62 ก็ไม่มีข้อกำหนดที่ว่านี้
ที่สำคัญขณะที่รฟม.ยืนยัน นั่งยัน ต้องเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องคุณสมบัติของผู้รับเหมาที่จะเข้าประมูลให้ประมูลได้ยากขึ้น เพราะต้องการได้ผู้รับเหมาที่มีศักยภาพ เป็นหลักประกันการดำเนินโครงการจนำให้ทั่วทั้งโลก มีผู้รับเหมายักษ์ไทยเพียง 2 รายที่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ที่ รฟม.กำหนดคือกลุ่ม ช.การชข่าง(CK) และ บริษัทอิตาเลียนไทยดีเวลลอปเมนต์ จำกัด(มหาชน)
แต่ในส่วนของผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญของการดำเนินโครงการนั้น รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกกลับไปตัดเงื่อนไขในเรื่องประสบการณ์ของผู้ให้บริการเดินรถจากที่กำหนดเอาไว้อย่างเข้มข้นในการประมูลครั้งแรกออกไป ทั้งที่ต้องรับผิดชอบการเดินรถไปถึง 30 ปี เป็นสิ่งที่ “ย้อนแย้ง” กับสิ่งที่ รฟม.ป่าวประกาศโดยสิ้นเชิง ! เพราะหากรฟม.ต้องการสร้างหลักประกันให้กับโครงการนี้จะต้องเพิ่มข้อกำหนดในเรื่องประสบการณ์เดินรถไฟฟ้าให้เข้นข้นยิ่งขึ้นไปอีก อาจจะเป็นมากกว่า 15,000 -25,000 ล้านบาทเสียด้วยซ้ำ
การกำหนดคุณสมบัติด้านเทคนิคข้างต้น จึงทำให้ BTS ลุกขึ้นมาฟ้อนเงี้ยวร้องแรกแหกกระเชอและฟ้องศาลอีกครั้ง รวมทั้งยังได้ทำหนังสือไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ รมต.คมนาคม เพราะเป็นการกำหนดเงื่อนไขประมูล เพื่อกีดกันไม่ให้กลุ่มผู้รับเหมาจากต่างประเทศ รวมทั้งกลุ่ม BSR ที่มีบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)หรือ BTS เป็นแกนนำซึ่งเคยผ่านเกณฑ์คุณสมบัติมาก่อนในการประมูลครั้งแรก เพื่อไม่ให้เข้าร่วมประมูลได้เท่านั้น
แล้วจะมาป่าวประกาศว่าไม่สามารถจะนำข้อเสนอทางการเงินทั้งสองครั้ง มาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?
เปรียบเทียบประมูลแหลมฉบัง เฟส3
กับข้ออ้างของผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดที่ร่วมอยู่ในคณะกรรมการคัดเลือกฯ ที่อ้างว่า รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกได้ประกาศผู้ชนะประมูลไปแล้ว และเริ่มขั้นตอนการเจรจากับผู้ชนะประมูลไปแล้ว รวมทั้งส่งร่างสัญญามาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาแล้ว หากจะยกเลิกการประกวดราคาจะนำมาสู่การฟ้องร้องได้นั้น
หากเปรียบเทียบกรณีการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 โครงสร้างพื้นฐานหลักของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) มูลค่าการลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และกระทรวงคมนาคมเปิดประมูลไปเมื่อ 2 ปีก่อน จะเห็นถึงความแตกต่างในเรื่องของการปกปักษ์รักษาผลประโยชน์ของประเทศอย่างเห็นได้ชัด
โดยกทท.ได้เปิดประมูลโครงการดังกล่าวเมื่อเดือน มี.ค.2562 หลังจากเปิดประมูลครั้งแรกแต่ต้องยกเลิกประมูลไป เพราะมีเอกชนเข้ายื่นข้อเสนอเพียงรายเดียว แต่ไม่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเพราะขาดหลักประกันซอง ทำให้ต้องกลับมาปรับปรุงเอกสารการคัดเลือกใหม่ และเปิดให้เอกชนเข้ายื่นข้อเสนออีกครั้ง เมื่อวันที่ 29 เม.ย.62
มีผู้ยื่นซองประมูล 2 ราย คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC กิจการร่วมทุนระหว่าง”พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล”ในกลุ่ม ปตท.กับบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) และกลุ่มกิจการร่วมค้า NPC ที่ประกอบด้วยบริษัท แอสโซซิเอท อินฟินิตี้ จำกัด ,บริษัท นทลิน จำกัด และบริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) แต่กิจการร่วมค้าถูกตัดสิทธิจากการประมูล เพราะกรรมการลงชื่อในเอกสารผิดพลาด ทำให้มีการฟ้องร้องให้เพิกถอนมติคณะกรรมการคัดเลือก ไม่ต่างจากกรณีการประมูลรถไฟฟ้า สายสีส้ม
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุด หลังคณะกรรมการคัดเลือกยืนยันการตัดสิทธิประมูล และได้พิจารณาเปิดซองข้อเสนอของกิจการร่วมค้า GPC ก็พบว่าได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ 87,000 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน 12,051 ล้านบาทเท่านั้น เทียบกับข้อเสนอของกิจการร่วมค้า NPC ที่อ้างว่าเสนอผลตอบแทนแก่รัฐสูงกว่าแต่ถูกตัดสิทธิ
และยังต่ำกว่ามูลค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)กำหนดไว้คือ 32,225 ล้านบาท
ทำให้ กทท.ต้องดำเนินการเจรจาขอเพิ่มผลตอบแทนจากกิจการร่วมค้า GPC ผู้ชนะประมูล จนกระทั่งได้ข้อยุติที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรทีอียูละ 100 บาท ใกล้เคียงกับผลประโยชน์ขั้นต่ำที่รัฐกำหนดไว้ที่ 32,225 ล้านบาท และใกล้เคียงกับผลตอบแทนที่อีกกลุ่มเสนอ
อันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงการปกปักษ์รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง ซึ่งกิจการร่วมค้า GPC เองก็ยอมปรับเพิ่มผลประโยชน์ตอบแทนในโครงการให้แก่รัฐ ก่อนที่กระทรวงคมนาคม และสกพอ.จะนำเสนอผลการคัดเลือกต่อที่ประชุมครม.ให้ความเห็นชอบ เมื่อ 9 พ.ย.64 และลงนามในสัญญากันไปเมื่อ 25 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา
เทียบกับโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม ที่นอกจาก รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกฯ จะดำเนินการปรับปรุงเงื่อนไขการประกวดราคาเพื่อสร้างข้อจำกัดให้กับการประมูล ตีกันไม่ให้ผู้รับเหมาจากต่างประเทศเข้าร่วมได้แล้ว แม้แต่กลุ่ม BSR ที่ีเคยผ่านคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมประมูลในครั้งแรกได้ ก็ยังไม่สามารถจะผ่านเกณฑ์เงื่อนไขการประกวดราคาครั้งใหม่ได้
แม้รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกฯ จะรับทราบข้อมูลข้อเสนอทางการเงินและผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐที่กลุ่ม BSR แถลงออกมา ซึ่งมีความแตกต่างจากที่ผู้ชนะการประมูลที่ รฟม.ตีฆ้องร้องป่าวอยู่นี้เกือบ 70,000 ล้าน ซึ่งมากพอที่จะก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าใหม่ได้อีกทั้งสาย แต่ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกก็ยังคงไม่นำพาต่อการที่จะนำเอาข้อมูลด้านผลประโยชน์ตอบแทนที่ว่านี้ เพื่อไปหาทางเจรจาเพิ่มผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐเพิ่มเติม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติเอาไว้
ยิ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบข้อเสนอทางการเงินสุทธิ ที่แตกต่างกันร่วม 70,000 ล้านบาท โดยที่กลุ่ม BSR-BTS ออกมายืนยันเองว่าได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนตลอดสัญญาสัมปทานสูงกว่า 145,000 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน(NPV)ราว 70,144 ล้านบาท และเสนอค่าก่อสร้างส่วนตะวันตกไว้เพียง 79,820 ล้านบาท ทำให้เสนอขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐสุทธิเพียง 9,676 ล้านบาทเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับข้อเสนอทางการเงินสุทธิของ BEM ที่เสนอขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐวงเงินรวมกว่า 78,287 ล้านบาท โดยไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดของข้อเสนอ แต่ในส่วนของค่าก่อสร้างที่ทางกลุ่มยืนยันไม่ยอมปรับลดราคาให้นั้น ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงราคา 93,000-95,000 ล้านบาทนั้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่าข้อเสนอผลประโยชน์ตอบแทนสุทธิ(NPV )ของเอกชสนรายนี้ไม่น่าจะสูงเกิน 16,000-18,000 ล้านบาทเท่านั้น เทียบกับ 145,000 ล้านบาทที่รัฐจะได้รับแล้ว แตกต่างกันลิบลับ
แต่ รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกยังคง ยืนยัน นั่งยัน แต่เพียงว่าโครงการนี้ได้ประกาศชื่อผู้ชนะการประมูลไปแล้ว หากจะมีการทบทวนหรือยกเลิกประกวดราคาอีกก็อาจจะถูกฟ้องร้องเอาได้ ทั้งที่รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกยืนยัน นั่งยันเองว่า ทุกอย่างยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาคัดเลือก (ที่ยังไม่สิ้นสุด) และปฏิเสธที่จะส่งผู้แทนไปชี้แจงข้อมูลต่อหน่วยงานตรวจสอบทั้งหลายด้วยข้ออ้าง โครงการนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาคัดเลือก และยังมีข้อพิพาทที่อยู่ระหว่างกระบวนการไต่สวนของศาลปกครอง จึงเกรงจะก้าวล่วงกระบวนการพิจารณาของศาล
ก็ในเมื่อโครงการยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีการลงนามในสัญญาที่ถือว่ามีผลผูกพันหน่วยงานรัฐ แล้วเหตุใดทั้งสำนักงานอัยการสูงสุด รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกถึงได้ “แอ่นอก” ปกป้องผลการประมูลครั้งนี้อย่างออกดหน้าออกตาเช่นนี้ อยากเห็นหน่วยงานรัฐต้องเสีย “ค่าโง่” ซ้ำสอง ต้องผลาญเม็ดเงินภาษีประชาชนแพงไปหลายหมื่นล้าน ยิ่งกว่า “ค่าโง่”โฮปเวลล์ อีกหรือ? ถึงไม่คิดจะเจรจาเพิ่มผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐโดยอ้างอิงข้อเสนอของคู่แข่งที่ไม่มีโอกาสจะเข้าร่วมแข่งขัน
หรือเพราะโครงการนี้มี “เม็ดเงินก้อนมหึมา”หล่นเข้ากระเป๋าใครอย่างที่มีกระแสข่าวสะพัดกันหรือไม่? ถึงซื้อได้แม้กระทั่งจิตวิญญาณของเจ้าหน้าที่รัฐ จริงไม่จริง!!!