พิมพ์ไทยออนไลน์ // วงการสื่อสารสุดกังขา กสทช.เร่งสปีดเวที “โฟกัส กรุ๊ป”รับฟังความเห็นดีลควบรวม”ทรู-ดีแทค” จากนักวิชาการ แถมยังปิดลับราวกับเรื่องสำคัญของโลก ทั้งที่เปิดเวทีครั้งก่อนยังทำสังคมคาใจไม่หาย หลังตัวแทนภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องตบเท้าให้ความเห็นราวถอดพิมพ์เขียวเดียวกัน ด้าน“วัชระ”ร้อง ปปช.สอบกราวรูด!
แหล่งข่าวในวงการสื่อสารและโทรคมนาคม เปิดเผยว่า จากควันหลงจากการที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะในวงจำกัด หรือ Focus Group กรณีการควบรวมธุรกิจ
ระหว่าง บมจ. ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัดและบมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือดีแทค ครั้งที่ 1 ในกลุ่มภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องที่ยังคงทำให้หลายภาคส่วนตั้งข้อกังขาต่อผลสรุปความคิดเห็นที่ได้ ที่ส่วนใหญ่เห็นพ้องกับดีลควบรวมราวกับถอดพิมพ์เขียวเดียวกัน
แม้แต่ที่ประชุมบอร์ดกสทช.ยังตั้งข้อสังเกตุความคิดเห็นโฟกัส กรุ๊ปที่ได้ว่า มีความครอบคลุมเพียงพอหรือไม่ ด้วยข้อมูลที่ได้แตกต่างและสวนทางกับรายงานผลศึกษาของสถาบันวิจัยจุฬาฯที่ปรึกษาอิสระที่สำนักงาน กสทช.ดำเนินการว่าจ้างฯซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า
หากดีลควบรวมกิจการสำเร็จลุล่วงไปได้ จะทำให้ค่าบริการในระยะยาวเพิ่มขึ้น 20-30% จนถึงขั้นที่ กสทช.เตรียมทบทวนแนวทางการจัดเวทีประชาพิจารณ์ใหม่
ล่าสุดแวดวงสื่อสารโทรคมนาคมต้องอึ้งกิมกี่หนักเข้าไปอีก เมื่อมีกระแสข่าวว่า สำนักงาน กสทช.กำหนดจัดเวทีโฟกัสกรุ๊ป ครั้งที่ 2 ความเห็นจากนักวิชาการ ในวันศุกร์ที่ 20 พ.ค.นี้ และกำหนดจัดครั้งที่ 3 ผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วไป ในวันพฤหัสที่ 26 พ.ค.นี้ต่อเนื่องกันไป โดยเตรียมเชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งองค์กรในภาคส่วนประชาสังคม และเครือข่ายคุ้มครองผู้บรโภคเข้าร่วมแต่กลับดำเนินการจัดเตรียมเวทีโฟกัสกรุ๊ปครั้งนี้อย่างเงียบกริบ ไม่ยอมแพร่งพรายให้เจ้าหน้าที่ กสทช.เองรับทราบกำหนดการ แม้กระทั่งรายชื่อนักวิชาการที่ได้รับเชิญเข้าร่วมก็ยังปกปิดไม่ยอมแพร่งพรายให้รับทราบว่า มีใครบ้าง ทำเอาทุกฝ่ายพากันเคลือบแคลงสงสัย กสทช.กำลังทำอะไรกันแน่
“ไม่เข้าใจว่า เหตุใด กสทช.ถึงรวบรัดจัดเวทีโฟสกัส กรุ๊ป ครั้งนี้อย่างเร่งรีบและกระทำราวกับเป็นเรื่องลับที่ไม่สามารถให้ผู้คนในสังคมได้รับรู้ ทั้งที่การจัดเวที่ครั้งก่อนยังคงมีปัญหาในเรื่องของข้อมูลที่ได้รับที่ยังขาดความครอบคลุม และเกรงว่า กสทช.จะเลือกเชิญแต่นักวิชาการที่ให้การสนับสนุนดีลควบรวมเป็นหลักเท่านั้น เพราะจากการสอบถามนักวิชาการหลายคนที่เคยออกโรงแสดงความเห็นคัดค้าน อ้างว่า ยังไม่ทราบกำหนดการณ์ในครั้งนี้”
“วัชระ” ร้อง ปปช. สอบกราวรูด!
เมื่อวันที่ 19 พ.ค.65 ที่รัฐสภา นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลงขาาวต่ิสื่อมวลชน หลังเข่ายื่นหนังสือถึง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ดำเนินคดีกับ กสทช.และพนักงานที่เกี่ยวข้องในการทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการระหว่าง ทรู และ ดีแทค เนื่องจากมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการกระทำอันผิด
กฎหมายและมีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่งผลให้ประชาชนและผู้บริโภค ถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกใช้บริการโทรคมนาคมพื้นฐาน
โดยนายวัชระกล่าวว่า กรณีการควบรวมทรูและดีแทคที่ทั้งสองบริษัท มีบริษัทลูกที่ประกอบกิจการโทรคมนาคมอยู่หลายบริษัท ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับประชาชนผู้บริโภคเนื่องจากตามข้อมูลของ กสทช.ในปัจจุบัน มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 141 ล้านเลขหมาย ผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 รายใหญ่ (ไอไอเอส ทรู และดีแทค) 132 ล้านเลขหมายคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดรวมกันสูงถึงร้อยละ 93 และทั้ง 3 รายล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือตลาดทั้งสิ้น
หากมีการควบรวมกิจการระหว่างกลุ่มทรูและกลุ่มดีแทคแล้ว จะเป็นรายที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึงร้อยละ 54 ซึ่งถือว่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือตลาดเป็นอย่างยิ่งและเคยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่า ในอดีตเมื่อมีผู้ให้บริการโทรคมนาคมเพียง 2 ราย จะทำ
ให้ประชาชาชนผู้บริโภคเสียเปรียบอย่างยิ่ง อาทิ การลดหรือจำกัดการแข่งขันในตลาด ลดหรือจำกัดการเกิดผู้แข่งขันรายใหม่และจำกัดการเติบโตของผู้แข่งขันรายเล็กในตลาด มี
อนวโน้มที่่ราคาของการให้บริการจะเพิ่มขึ้น เป็นต้น
ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น การควบรวมของ ทรูและดีแทค ส่งผลในหลากหลายด้าน แต่ กสทช.หน่วยงานที่กำกับดูแล กลับไม่โต้แย้งหรือคัดค้านและยังมีพฤติกรรมที่ส่อได้ว่าจะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้เกิดการควบรวม ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมายและประกาศ กสทช.หลายมาครา
โดยเฉพาะ การที่ ประกาศ กสทช. ฯ 2561 ยกเลิกประกาศฉบับเดิมปี 2553 ที่มีการระบุถึงหลักเกณฑ์และวิธีการถือหุ้น การถือหุ้นไขว้ การควบรวมกิจการ แต่ประกาศฉบับใหม่นี้กลับมีเจตนาให้ไม่มีเนื้อหารายละเอียด หลักเกณฑ์และวิธีการและที่จำเป็น รวมทั้งตัดทอนอำนาจพิจารณาการอนุมัติการกระทำที่ส่งผลด้านลบต่อการแข่งขันอันถือว่าเป็นการครอบงำตลาดที่เกี่ยวข้อง เหลือเพียงแค่การกำกับโดยมาตรการเฉพาะภายหลังการควบรวมเท่านั้น จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาที่ให้เกิดการดำเนินการที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรฯ 2553 และ พ.ร.บ.โทรคมนาคมฯ 2544 และประกาศ กทช.ฯ 2553 ที่ยังบังคับใช้อยู่ ดังนั้น
กสทช. จึงไม่อาจกล่าวอ้างประกาศ กสทช.ฯ 2561และกรอบเวลาตามประกาศดังกล่าวเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเร่งรัดดำเนินการสอดรับกับการดำเนินการของผู้ยื่นขออนุญาตควบรวมได้
ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้ ปปช.ดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยเรื่องนี้ โดยขอให้ดำเนินคดีกับ กสทช.ชุดเก่าที่ออกประกาศฯ 2561 ที่ขัดกับกฏหมายกฎหมายและดำเนินการตามขั้นตอนที่ไม่ถูกต้องในการออกประกาศดังกล่าว พร้อมทั้งดำเนินคดีกับ กสทช.ชุดเก่าและชุดปัจจุบันที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้มีการรวมธุรกิจ ทรูและดีแทค ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศ.