พิมพ์ไทยออนไลน์ // ศึกฟุตบอลยูโร 2020 รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน อังกฤษ เมื่อเช้าวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ตามเวลาเมืองไทย ระหว่างอิตาลี พบกับ อังกฤษ โดยอิตาลีไม่ได้แชมป์ยูโรมาแล้ว 53 ปี หลังจากได้เพียงครั้งเดียวในปี 1968 และทำสถิติไม่แพ้ใครมาแล้ว 33 เกมติดต่อกัน (ชนะ 27 เสมอ 6) ส่วนอังกฤษเข้ารอบชิงชนะเลิศยูโรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ผู้เล่น 11 คนตัวจริง อังกฤษ จอร์แดน พิกฟอร์ด, ไคล์ วอล์กเกอร์, ลุก ชอว์, ดีแคลน ไรซ์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, แฮร์รี่ เคน, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, คีแรน ทริปเปียร์, คาลวิน ฟิลลิปส์, เมสัน เมาท์ ส่วนอิตาลี จานลุยจิ ดอนนารุมม่า, โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, จอร์โจ คิเอลลินี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, นิโคโล่ บาเรลล่า, เอแมร์สัน, มาร์โก้ แวร์รัตติ, จอร์จินโญ่, เฟเดริโก้ เคียซ่า, ลอเรนโซ่ อินซินเญ่, ชิโร่ อิมโมบิเล่
เปิดเกมแค่เพียง 2 นาที อังกฤษขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะเปิดบอลจากกราบขวาของทริปเปียร์ โยนให้ ชอว์ยิงไม่เหลือเป็นประตูแรก เป็นประตูที่ทำได้เร็วที่สุดในรอบชิงชนะเลิศยูโรทุกครั้งที่ผ่านมา
สิงโตคำรามเปิดเกมบุกเร็ว ได้ลุ้นประตูหลายครั้ง ช่วง 10 นาทีสดท้าย อิตาลีพยายามบุกหนักแต่ทำไม่ได้ จบครึ่งแรก อังกฤษนำ 1-0
ครึ่งหลัง นาทีที่ 67 อิตาลีไล่ตีเสมอ 1-1 จากลูกตั้งเตะ บอลชุลมุนในเขตโทษ โบนุชชี่ยิงเข้ากรอบอย่างสวยงาม
ช่วงท้ายครึ่งหลังอิตาลีดึงเกมไว้ได้ จบเกมเสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษหาผู้ชนะ
ช่วง 30 นาทีแรก ทั้งสองทีมเปิดเกมใส่กันอย่างสนุก จบด้วยสกอร์เสมอ 1-1 และต้องยิงจุดโทษตัดสิน ผลปรากฏว่า อิตาลีชนะไป 3-2 คว้าแชมป์ยูโรสมัยที่ 2 และทำสถิติไม่แพ้ใคร 34 นัดติดต่อกัน ขณะที่อังกฤษยังต้องรอแชมป์ต่อไป
Cr..วิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์
