“เครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ””(ส.ท.ช.) ออกโรงหนุน “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค””เป็นหัวหอกตรวจทุนยักษ์ กินรวบธุรกิจค้าปลีก เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน หลังคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า อนุมัติให้ทุนยักษ์ค้าปลีก ที่มีอำนาจเหนือตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ควบรวมธุรกิจกับยักษ์ค้าปลีกค้าส่งได้อีก หวั่นทำลายตลาดแข่งขัน กระทบผลประโยชน์ประชาชนถูกลิดรอน
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 นายพิทยา พรโพธิ์ รองประธานเครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ (ส.ท.ช.) พร้อมด้วยกรรมการ ส.ท.ช. ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ “นางสาวสารี อ๋องสมหวัง” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อสนับสนุนให้มูลนิธิฯ เป็นหัวหอกในการตรวจสอบกรณีกลุ่มทุนยักษ์ที่กำลังรุกคืบกินรวบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของประเทศอยู่ในเวลานี้ หลังจากที่ “คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า” (กขค.) กระทรวงพาณิชย์ ในคราวประชุมเมื่อ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 มีมติเสียงส่วนใหญ่ เห็นชอบการอนุมัติการควบรวมธุรกิจระหว่าง บริษัท ซี.พี.รีเทล ดีเวลลอปเม้น จำกัด ในกลุ่ม ซี.พี. กับ บริษัท เทสโก้ สโตร์ (ประเทศไทย) เจ้าของธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง Tesco Lotus กว่า 2,100 สาขา ซึ่งถือเป็นการควบรวมธุรกิจ ระหว่างยักษ์ค้าปลีกค้าส่งเบอร์ 1 ของเมืองไทยอยู่แล้ว เพราะกลุ่ม ซี.พี.นั้น มีธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง อาทิ ห้างแมคโคร และ 7-eleven คอนวีเนียน สโตร์อันดับ 1 ของประเทศ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 52% เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการควบรวมธุรกิจกับยักษ์ค้าปลีกค้าส่งเป็นเบอร์ 2 ของตลาดที่มีส่วนแบ่ง 17% จึงทำให้ภายหลังการควบรวมธุรกิจดังกล่าว ทางกลุ่ม ซี.พี. จะเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดยิ่งขึ้นไปอีก โดยมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 70% ของตลาดค้าปลีก ค้าส่ง และคอนวิเนียนสโตร์ในเมืองไทย
นายพิทยา กล่าวว่า แม้คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า จะตั้งเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่กำหนด ให้ธุรกิจค้าปลีกที่ขออนุมัติควบรวมกิจการในครั้งนี้ จะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่ คณะกรรมการกำหนดไว้ 7 ข้อ ควบคู่ไปกับการควบรวมในครั้งนี้ แต่กระนั้นสังคม ก็ยังมีความเคลือบแคลงใจ และยังไม่มั่นใจว่า เงื่อนไข และเงื่อนเวลาที่ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้ากำหนดข้างต้น จะเป็นแนวทางป้องกันการผูกขาดและใช้อำนาจเหนือตลาดได้มากน้อยแค่ไหน เพราะตามหลักเกณฑ์ของ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ที่เมื่อประกาศให้ธุรกิจใด เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด ดูจากมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าร้อยละ 50 และมียอดขายมากกว่า 1,000 ล้านบาทนั้น คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า และสำนักงาน จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ ที่เป็นคู่มือปฏิบัติ ให้ธุรกิจท่านนั้น จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด การที่กลุ่มทุน ซี.พี. ยังคงสามารถรุกคืบดำเนินการควบรวมกับธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในระนาบเดียวกันได้อีกอย่างต่อเนื่อง จึงย่อมทำให้สังคมมีความเคลือบแคลงในการทำหน้าที่ของ คณะกรรมการแข่งขันทางการค้าว่า ได้ทำหน้าที่กำกับดูแล ให้ตลาดมีการแข่งขัน
อย่างเสรีและเป็นธรรมเพียงพอหรือไม่ และมีการใช้อำนาจหน้าที่ ที่เป็นคุณหรือเพื่อประโยชน์ให้แก่ทุนยักษ์หรือไม่ รวมทั้งผลพวงจากการอนุมัติควบรวมธุรกิจในครั้งนี้ จะยังประโยชน์แก่ประชาชนมากน้อยแค่ไหน หรือจะทำให้ประชาชนสูญเสียประโยชน์อย่างที่หลายฝ่าย แสดงความห่วงใย ซึ่งล่าสุดนั้น ทางคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ สภาผู้แทนฯ ก็ได้ออกโรงเข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอีกทางหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตามการ การที่ ส.ท.ช. ได้มายื่นหนังสือต่อ “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค””ในครั้งนี้ เพราะเล็งเห็นว่าที่ผ่านมา“”มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค””มีบทบาทในการเป็นเครื่องมือ และกลไกในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ในการกำกับดูแลเพื่อสาธารณะประโยชน์ และผลประโยชน์ของผู้บริโภคมาโดยตลอด โดยเฉพาะ “คุณสารี อ๋องสมหวัง””เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้รักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ท่านมีชื่อเสียงด้านการต่อสู้เพื่อประชาชนมาอย่างยาวนาน ในฐานะที่เราเป็นสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่อยากเห็นมูลนิธิ จะได้แสดงบทบาท และเป็นหัวหอกในการต่อสู้เพื่อประโยชน์ของประชาชนในครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้ทาง “เครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ” (ส.ท.ช.) ซึ่งเป็นองค์กรในภาคประชาชน จึงยื่นหนังสือเพื่อขอให้ทาง “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค””ได้เป็นหัวหอกในการตรวจสอบกรณีการอนุมัติให้ควบรวมธุรกิจ ระหว่างยักษ์ค้าปลีกและค้าส่ง จนกลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดมากขึ้นไปอีกในครั้งนี้ เพราะเชื่อว่าผลพวงจากการมีอำนาจผูกขาดเหนือตลาดดังกล่าว ย่อมจะส่งผลกระทบทั้งต่อผู้ค้าปลีก ในระดับเดียวกัน ตลอดจนผู้ผลิต supplier ค่าส่ง รวมทั้งประชาชนผู้บริโภคโดยส่วนรวม ทางเครือข่าย ส. ท. ช. จึงต้องการเห็นบทบาท “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” จะได้แสดงท่าที และจุดยืนที่ชัดเจน ต่อกรณีดังกล่าว และหาก “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” จะมีท่าทีหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ต่อจากนี้ไป ทาง “เครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ” (ส.ท.ช.) ก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุน และเผยแพร่ข่าวสารในวงกว้าง เพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคอย่างแท้จริง.