วันพฤหัสบดี, กันยายน 11, 2025

หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยออนไลน์

หน้าแรก บล็อก หน้า 2114

“สราวุฒิ” โชว์ฟอร์มสุดยอด คว้าแชมป์สเตจพร้อมเจ้าภูเขา รักษาเสื้อเขียวได้สำเร็จ

0

พิมพ์ไทยออนไลน์ // “สราวุฒิ” ยังโชว์ฟอร์มสุดยอด คว้าแชมป์สเตจที่ 4 พร้อมรางวัลเจ้าภูเขาทั้ง 2 จุด ยังรักษาเสื้อเขียวได้ต่อไป ในศึกสองล้อทางไกลนานาชาติ “ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2020” ด้าน “มร.เฟดเดอริค ชาน” หัวหน้าผู้ตัดสินชาวฮ่องกง ยกย่องประเทศไทยมีมาตรการป้องกัน “ไวรัสโควิด-19” ได้ดีและปลอดภัยที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก รวมทั้งชื่นชม “พลเอกเดชา” กับ สมาคมกีฬาจักรยานฯ จัดการแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นต้นแบบให้รายการอื่น ๆ ในทวีปเอเชีย และการแข่งขันทั่วโลก
การแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติ “ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2020” ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เส้นทางจังหวัดสมุทรสงคราม – เพชรบุรี – ประจวบคีรีขันธ์ – ชุมพร – ระนอง และสุราษฎร์ธานี ในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ New Normal เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ประเภททีมชาย สเตจที่ 4 ปล่อยตัวจากหน้าองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร เข้าเส้นชัยที่หน้าเทศบาลเมืองระนอง ระยะทาง 122.85 กม. โดยมี นายธีระ อนันตเสรีวิทยา รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร (รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร) เป็นประธาน ร่วมกับ “เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรี นายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย

สำหรับเส้นทางการแข่งขันในสเตจที่ 4 นี้ ส่วนใหญ่เป็นทางขึ้นขึ้น-ลงเขาเกือบตลอด แต่มีภูเขาสูงให้นักปั่นประลองกำลังกันถึง 2 ลูก และขบวนนักปั่นยังคงผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ๆ เช่น เขาทะลุแหล่งผลิตกาแฟชื่อดังจังหวัดชุมพร รวมทั้งบ่อน้ำร้อนรักษะวาริน ของจังหวัดระนอง เป็นต้น
ผลการแข่งขันในช่วงสุดท้าย กลุ่มผู้นำ 3 คนแย่งกันสปรินต์หน้าเส้น ปรากฏว่า “วุฒิ” สิบโท สราวุฒิ สิริรณชัย ทีมไทยแลนด์ คอนติเนนตัล ไซคลิง 3 เหรียญทองกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ ฟิลิปปินส์ คว้าแชมป์สเตจที่ 4 ไปครองได้อีกครั้ง หลังจากได้ในสเตจที่ 3 มาแล้ว โดยมี วาเลนติน ไมดีย์ ทีมรู้ใจ ดอคคอม อันดับที่ 2 และ นิโคเดมัส โฮลเลอร์ ทีมไบค์ เอด เยอรมนี อันดับที่ 3 ตามลำดับ ด้วยเวลา 3.30.39 ชั่วโมงเท่ากัน

ส่วนรางวัลเจ้าความเร็ว (IS) นายณัฐพล จำชาติ ทีมไทยแลนด์ ออล สตาร์, รางวัลเจ้าภูเขา (KOM) ประจำจุดที่ 1 และจุดที่ 2 สิบโท สราวุฒิ สิริรณชัย ทีมไทยแลนด์ คอนติเนนตัล ไซคลิง ไม่ปล่อยให้หลุดมือ กวาดคนเดียวทั้ง 2 จุด โดยจุดที่ 2 สราวุฒิ โชว์พลังมาปั่นแซง เอ็ดเน่ ฟาน แองเจเลน นักปั่นทีมไบค์ เอด ในช่วง 400 เมตรสุดท้าย ทำให้ สราวุฒิ ได้ครองเสื้อลายจุด ด้านผู้นำเวลารวม นิโคเดมัส โฮลเลอร์ ทีมไบค์ เอด ด้วยเวลา 13.39.29 ชั่วโมง ได้ครองเสื้อสีชมพูต่อไป ส่วน สราวุฒิ เป็นอันดับ 2 เวลารวม 13.40.05 ชั่วโมง ตามหลัง โฮลเลอร์ แค่ 36 วินาที
ขณะที่รางวัลผู้นำคะแนนรวมเจ้าความเร็ว สราวุฒิ ด้วยคะแนนรวม 67 คะแนน ได้ครองเสื้อเขียวต่อไป นอกจากนี้ สราวุฒิได้รับรางวัลนักบู๊ยอดเยี่ยมประจำสเตจที่ 4 ส่วนแชมป์สเตจที่ 4 ในรุ่นยู-23 อาเดรียนาส เจสซี่ โจฮันนาส ทีมไบค์ เอด เยอรมนี เวลา 30.39.41 ชั่วโมง แต่ผู้นำเวลารวมรุ่นยู-23 ยังอยู่กับ “เฟรม” สิบตรี ธนาคาร ไชยยาสมบัติ จากทีมไทยแลนด์ คอนติเนนตัล ไซคลิง ด้วยวลา 13.42.03 ชั่วโมง รักษาเสื้อม่วงต่อไปอีก 1 วัน ด้านผู้นำเวลารวมประเภททีม ปรากฏว่า ทีมไบค์ เอดเป็นผู้นำ ตามมาด้วย ทีมไทยแลนด์ คอนติเนนตัล ไซคลิง ด้วยเวลา 41.03.19 ชั่วโมงเท่ากัน

“โค้ชตั้ม” พันจ่าอากาศเอก วิสุทธิ์ กสิยะพัท หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมไทย เปิดเผยว่า สเตจนี้การแข่งขันที่ยากพอสมควร เพราะมีทางขึ้นเขาลงเขาตลอด แต่เราได้พานักกีฬามาฝึกซ้อมเส้นทางล่วงหน้าเพื่อดูสภาพความชัน เตรียมรถ-เตรียมเกียร์ให้พร้อม ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน สราวุฒิ เก็บรางวัลเจ้าภูเขาได้ทั้ง 2 จุด ได้แชมป์สเตจด้วย ทำให้เวลารวมไล่จี้นักปั่นทีมไบค์ เอด เหลือแค่ 36 วินาที ส่วนสเตจที่ 5 เป็นงานหนักมาก เนื่องจากระยะทาง 219.60 กม. และช่วงแรกต้องปั่นทวนลม ตอนนี้นักปั่นเยอรมันเป็นผู้นำ เขาก็ต้องทำงานกันต่อไป ส่วน สราวุฒิ จะได้ควงขาสบาย ๆ ประมาณ 100 กม. และไปสู้กันในช่วง 50 กม. สุดท้าย จุดเด่นของเราคือทีมเวิร์ค ทุกคนช่วยเหลือกันดีมาก
“วุฒิ” สราวุฒิ กล่าวว่า วันนี้โค้ชเตรียมแผนมาดี และทำการบ้านมาเยอะ ทำให้คว้าแชมป์ 2 สเตจติดต่อกัน เป็นเพราะมีทีมเวิร์คที่ดี ช่วยเหลือกันตลอด การที่ได้แชมป์มา 2 สเตจติดต่อกัน รู้สึกพอใจมาก ถือว่าเกินความคาดหมาย จากนี้ไปจะต้องสู้อีก 2 สเตจ และพยายามแย่งเสื้อชมพูกลับคืนมาให้ได้ ขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยที่ส่งแรงใจมาเชียร์พวกเรา และขอขอบพระคุณท่านนายกสมาคมฯ พลเอกเดชา เหมกระศรี ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีที่สุด

 

Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

“ต๋อง” ฟีเวอร์จัดยิ่งใหญ่ ผู้ว่าการกกท.พร้อมหนุน6แดงโลก

0

พิมพ์ไทยออนไลน์ // การกีฬาแห่งประเทศไทย จัดงาน 36 ปี ต๋อง ฟีเว่อร์ มีท เดอะ กรีท กระแสตอบรับดีเกินคาด มีแฟนจากทั่วกรุงเทพฯ และ แฟนพันธุ์แท้จาก นครราชสีมา เดินทางมาร่วมงาน “บิ๊กก้อง” ผู้ว่าการ กกกท.ยืนยันสนุกเกอร์เป็นกีฬา ไม่ใช่การพนัน พร้อมสนับสนุนสนุกเกอร์ 6 แดง ชิงแชมป์โลกอย่างเต็มที่
ที่ พิพิธภัณฑ์การกีฬาแห่งประเทศไทย ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย รัชพล ภู่โอบอ้อม (ต๋อง ศิษย์ฉ่อย) อดีตนักสนุกเกอร์อาชีพ มืออันดับ 3 ของโลก เมื่อปี 1994-1995 , นายสุนทร จารุมนต์ นายกสมาคมกีฬา

บิลเลียดแห่งประเทศไทย และ นายศักดา รัตนสุบรรณ อุปนายกสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย ร่วมจัดงาน “36 ปี ต๋อง ฟีเว่อร์” เป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติให้กับนักกีฬาซูเปอร์ฮีโร่ ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ โดยมีแฟนคลับเดินทางร่วมงานกันเป็นจำนวนร่วม 50 คน โดยเฉพาะ น.ส.ปิยาภรณ์ อาจารยานนท์ “ปุ๋ย โคราช” ที่ได้ประมูลเสื้อกั๊กการแข่งขัน “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” จำนวน 70,000 บาท ได้เดินทางมาสร้างเซอร์ไพรส์ด้วย

ดร.ก้องศักด ยอดมณี เผยว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อต้องการให้น้อง ๆ เยาวชนได้สัมผัสฮีโร่ (ต๋อง ศิษย์ฉ่อย) นักกีฬาตัวอย่างของประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นผู้ที่สร้างชื่อเสียง มีความประพฤติที่ดีทั้งในสนาม และนอกสนาม เหมาะสมที่สุดกับการจัดงานเชิดชูเกียรติให้กับนักกีฬาที่ผู้ชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างยิ่ง ส่วนรายต่อไปมองว่าจะเป็นนักกีฬามวยสากล ทั้ง สมรักษ์ คำสิงห์ และ สมจิตร จงจอหอ แต่ทั้งนี้ต้องรอดูอีกครั้งว่าจะจัดเมื่อไหร่
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองกีฬาสนุกเกอร์อย่างไร ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ตอบว่า สนุกเกอร์วันนี้เป็นกีฬาอาชีพ ไม่ใช่กีฬาเพื่อการพนัน ในส่วนของกกท.ยินดีให้การสนับสนุนการแข่งขันสนุกเกอร์ 6 แดงชิงแชมป์โลก ที่ ไทยเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มที่

“บิ๊กฮง” นายสุนทร จารุมนต์ นายกสมาคมกีฬาบิลเลียดฯ กล่าวว่า สมาคมฯ ได้ร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ ขณะนี้มีทั้ง เทพไชยา อุ่นหนู (เอฟ นครนายก) , นพพล แสงคำ (หมู ปากน้ำ) และ อรรคนิธิ์ ส่งเสริมสวัสดิ์ (ซันนี่ อาร์แบค) กำลังแข่งขันสะสมคะแนนอาชีพโลกอยู่ที่ อังกฤษ ทั้ง 3 คนถือว่าเป็นนักสนุกเกอร์ที่มีความสามารถ ส่วนตัวมั่นใจว่าไม่เกิน 2 ปี จะมี “ต๋อง 2 “ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” เผยว่า ขณะนี้ถึงแม้ว่าเลยช่วงที่พีคมาแล้ว แต่ส่วนตัวให้การสนับสนุน นักสนุกเกอร์รุ่นน้องให้ขึ้นมาแทนที่ โดยมองว่ายังมีอีกหลายคน ทั้งนักสนุกเกอร์ชาย และนักสนุกเกอร์หญิง ฝีมือดีขึ้นจนน่าพอใจ เชื่อว่าเร็ว ๆ นี้ “ต๋อง 2” เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์

กฟผ. ปั้นเครือข่าย Thailand Clean Energy Network

0

http://www.natethip.com/news.php?id=3126
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเฮ! รับเงินเพิ่มอีก 500 บาทถึงสิ้นปี

0

http://www.natethip.com/news.php?id=3125
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

ยกระดับ “ร้านค้า-แผงลอย” ริมบาทวิถี สู่ “อาหารปลอดภัย”

0

http://www.natethip.com/news.php?id=3124
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

สำนักข่าวเนตรทิพย์-ท้องกินข้าว สมองกินข่าว!

0

https://timeline.line.me/post/_dRwLP9ryDNNCNElq786ZFgDnUlb3FkZ4wdgFcto/1160220314310056329
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

MBK จับมือ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดงาน “คนข่าวมาขายของ # 4″

0

พิมพ์ไทยออนไลน์//ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ร่วมกับ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นำโดย นางสาว ศตกมล วรกุล ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัทเอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) (ที่ 3 จากซ้าย) นายมงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (ที่ 4 จากซ้าย) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ เตรียมจัดงาน “คนข่าวมาขายของ # 4” เพื่อเปิดพื้นที่ให้แก่สื่อมวลชน และอดีตสื่อมวลชนทุกสำนัก ได้นำสินค้าของดีมีคุณภาพในราคากันเองมาร่วมออกบูธ รวมทั้งมีการจัดประมูลของที่ระลึกจากบุคคลมีชื่อเสียง โดยรายได้จากการจัดงานครั้งนี้จะนำเป็นสวัสดิการสำหรับสื่อมวลชนที่ประสบวิกฤตการจ้างงาน ซึ่งงานดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2563 ณ บริเวณลานรามา ฮอลล์ ชั้น G ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์:Cr;มณสิการ รามจันทร์

 

MyCloudFulfillment รับทุน 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายธุรกิจ รองรับช้อปปิ้งออนไลน์โต เตือนระวัง3สิ่งในโลกอีคอมเมิร์ซ

0

พิมพ์ไทยออนไลน์//ผู้สื่อข่าวรายงานว่า MyCloudFulfillment พร้อมก้าวสู่ความเป็น 1 ด้าน Fulfillment ในระดับอาเซียน (ASEAN) และเตรียมเข้าสู่ The future of commerce ชี้การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจออนไลน์จากวิกฤตโควิด19 (New Normal) และทิศทางการขายในโลกอนาคต (New Future) หรือ Data Commerce พร้อมทั้งเผยให้เห็นว่าประเทศไทยอยู่ในจุดที่หอมหวานในการประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม ได้ส่งสัญญานเตือน 3 ข้อที่ธุรกิจต้องทำความเข้าใจ และเตรียมรับมือเพื่อให้อยู่รอดในโลกอีคอมเมิร์ซในอนาคต พร้อมประกาศรับเงินลงทุน Series A มูลค่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากผู้ลงทุน ได้แก่ ECG-RESEARCH, Gobi Partners, NVest Venture และ SCB 10X โดยมีเป้าหมายที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปพัฒนาระบบการจัดการด้านข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศMyCloudFulfillment บริษัทคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร ผู้ให้บริการ Fulfillment ที่มาพร้อมกับระบบจัดการออเดอร์ (OMS) และระบบจัดการคลังสินค้า (WMS) ช่วยร้านค้าจัดการ เก็บ แพ็ค ส่งสินค้า และเชื่อมต่อ API เข้ากับช่องทางการขายต่าง ๆ ได้แบบอัตโนมัติ (API Lazada, Shopee, etc.) ด้วยรูปแบบบริการที่ยืดหยุ่น มีบริการแพ็คสินค้า ที่สามารถ customize ได้ตามต้องการ เช่น แพ็คแบบพิเศษ QCสินค้า จัดเซ็ท เพิ่มมูลค่าสินค้าที่มากกว่าแค่ รับแพ็คสินค้าทั่วไป อีกทั้งยังช่วยจัดการSupply Chain จัดการคำสั่งซื้อ และ นำข้อมูลการขายมาใช้เป็นข้อมูลวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจได้ เผยว่า บริษัทมี SKU ในระบบมากกว่า 100,000 SKUs, มียอดออเดอร์สูงสุดต่อวันถึง 50,000 ออเดอร์, โดยที่ออเดอร์เติบโตขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 6 เท่า และ ภายในครึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าซื้อขายสินค้าผ่านคลังกว่า 500 ล้านบาทนายนิธิ สัจจทิพวรรณ กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้ง MyCloudFulfillment บริษัท อี-เอ็มพาวเวอร์เมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวโน้มตลาดซื้อขายสินค้าออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ซทั่วโลก ที่มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Statista คาดการณ์ปี 2563 มูลค่าตลาดทั่วโลกจะอยู่ที่ 75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปี 2562 มีจำนวนผู้ใช้งานมากถึง 3,468 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.6% จากปี 2562 เช่นกันทั้งนี้ ความน่าสนใจในตลาดอีคอมเมิร์ซ คือรายได้ของทั่วโลกในปี 2563 มาจากภูมิภาคเอเชียมูลค่าอยู่ที่ 45 ล้านล้านบาท เติบโต 29% จากจำนวนผู้ใช้ถึง 2,133 ล้านคน คิดเป็น 61.5% ของผู้ใช้ทั่วโลก สะท้อนขนาดตลาดที่ใหญ่สุดในโลก หากมองเจาะลึกลงไปในภูมิภาคเอเชีย ยังพบว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่มูลค่าอีคอมเมิร์ซเติบโตสูงสุดถึง 44% ซึ่งมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะอยู่ที่ 2แสนล้านบาท โตขึ้นมาถึง 42% จากปีที่แล้ว โดยตลาดที่มีกำลังซื้อ คนมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงอันดับหนึ่ง ได้แก่ คนอินโดนีเซีย มีอัตราการใช้จ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซต่อผู้ใช้ต่อปีที่ 219 เหรียญสหรัฐ คิดเป็น 6,856 บาทต่อคนต่อปี และที่รองลงมาก็คือ คนไทย 215.67 เหรียญสหรัฐ คิดเป็น 6,752 บาทต่อคนต่อปี แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังมีอัตราคาดการณ์ของการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ต่ำกว่าอินโดนีเซียอยู่มาก นั่นหมายความว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยเป็นตลาดที่ คนมีกำลังซื้อ และ ยังขยายได้อีกมากในอนาคต“ตลาดการซื้อขายสินค้าออนไลน์ หรืออีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ถือว่าอยู่ในจุดที่เรียกว่า Sweet spot คือไม่ใช่จุดที่ดีที่สุด แต่เราอยู่ในจุดที่หอมหวานที่สุด คนไทยชื่นชอบและนิยม การซื้อสินค้าออนไลน์ ใช้จ่ายเฉลี่ยใกล้เคียงกับผู้บริโภคชาวอินโดนีเซีย แต่เทียบประชากรเราแล้ว การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเราต่ำกว่า จึงสะท้อนว่าโอกาสทางการตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยยังมีอีกมหาศาล ในอนาคตจะมีผู้คนเข้ามาโลกออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าหน้าใหม่ยังเกิดใหม่เรื่อยๆ หากผู้ประกอบการต้องการลงทุน ขยายตลาดช่องออนไลน์ ต้องดำเนินการตอนนี้เลย”

อีกทั้ง นายนิธิ สัจจทิพวรรณ ยังเล่าให้ฟังว่าธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ โควิดจนถึงตอนนี้ และ จะเติบโตต่อไปอีกในอนาคต คือ อุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มที่ผ่านการบรรจุภัณฑ์, อุปกรณ์ที่ใช้ภายในบ้าน และ ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้ซื้อ (New normal) และ จากกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ที่เข้ามาทดลองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งติดใจกับการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ไปเรียบร้อยแล้วส่วนธุรกิจที่น่าจับตามองคือ ความงามเครื่องสำอาง,ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย, และ ธุรกิจกลุ่มสุขภาพและอาหารเสริม เนื่องจากมีการเติบโตที่น่าสนใจช่วงโควิด ถึงจะลดตัวลงนิดหน่อยจากการกลับมาของหน้าร้าน แต่ จะกลับมาเติบโตได้ดีบนออนไลน์อีกครั้งในอนาคต โดยสุดท้ายแล้ว อุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือธุรกิจแฟชั่น ที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบของการท่องเที่ยว

เตือน 3 สิ่งควรระวัง เพื่อให้ร้านค้าอยู่รอดในโลกอีคอมเมิร์ซแห่งอนาคต

ถึงแม้ว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซจะมีการขยายตัว และเป็นขุมทรัพย์ตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล แต่ก่อนจะบุกทำตลาดผู้ประกอบการต้องเข้าใจทิศทางตลาดและผู้บริโภคให้ถ่องแท้ เพื่อระมัดระวัง เตรียมตัวรับมือ และสามารถอยู่รอดในโลกของอีคอมเมิร์ซในอนาคต ซึ่งหากเจาะลึกจะมี 3 อย่างที่ต้องทำความเข้าใจ ประกอบด้วย1. Understand lifestyles not trend ต้องเข้าใจไลฟ์สไตล์ของลูกค้าก่อน ไม่ใช่เทรนด์ เนื่องจากยุคดิจิทัลเทรนด์ตลาดหรือผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาจอยู่ได้ไม่กี่วัน เทียบอดีตอยู่ได้เป็นเดือนหรือเป็นปี แต่การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคเชิงลึกจะทำให้ผู้ประกอบการขายสินค้าได้อย่างยั่งยืน เช่น ผู้บริโภคซื้อแอลกฮอล์ หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 และมองหาสินค้าอื่นเพื่อดูแลสุขอนามัย สะท้อนความต้องการสินค้าอื่นอย่างต่อเนื่อง เพราะไลฟ์สไตล์กลัวเชื้อโรค รักสุขภาพไม่เปลี่ยน แต่ความต้องการสินค้าเปลี่ยนได้

“หากผู้ประกอบการยึดติดที่ตัวสินค้าจะขายดีแค่ช่วงเวลาหนึ่งแต่การเข้าใจปัญหาลูกค้า จะสามารถขายดีได้อย่างต่อเนื่อง”

2. Understand journey not channels ต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าก่อนเลือกช่องทาง การเข้าใจเส้นทางการซื้อสินค้าของผู้บริโภค (Customer journey) มีความสำคัญมาก เพื่อให้พ่อค้าแม่ขายสามารถนำเสนอสินค้าและบริการ โปรโมชั่น ผ่านช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็น Marketplace อย่างLazada, Shopee, JD Central Social Commerce อย่าง Facebook, Instagram หรือ ช่องทางเว็ปไซต์ ได้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

“ปัจจุบันทุกช่องทางจำหน่ายมีความสำคัญเท่าๆกัน เพราะตอบโจทย์คนละอย่างกัน ไม่มีช่องทางออฟไลน์ หรือออนไลน์สำคัญกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน, Shopee, Lazada หรือFacebook เพราะแต่ละช่องทางมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป ไม่ใช่ว่าทุกช่องทางจะเหมาะกับทุกคน เช่น Marketplace เป็นการค้นหาสินค้าใหม่ๆ โซเชียลคอมเมิร์ซเป็นช่องทางอ้างอิงว่าสินค้าน่าเชื่อถือ และ Website หรือ Line @ เป็นช่องทางช่วยทำให้เกิดการซื้อซ้ำ แต่ละช่องทางคาแร็กเตอร์ต่างกัน ผู้คนที่เข้ามาในช่องทางแต่ละอันก็คาดหวังไม่เหมือนกัน เส้นทางการซื้อสินค้า (Customer journey) ต่างกัน หากคุณทำช่องทางMarketplace แพง ๆ หวังกำไร โพสขายของหนัก ๆ บนโซเชียลมีเดีย และ ทำเว็บไซต์ตัวเองหรือไลน์ไว้เพื่อหาลูกค้าใหม่ ธุรกิจคุณไปต่อได้ยากแน่ ๆ เพราะใช้แต่ละช่องทางผิดจุดประสงค์ ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจเส้นทางการซื้อสินค้าของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ก่อน เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการ โปรโมชั่นที่สอดคล้องกับความต้องการลูกค้า”

3. Understand patterns not numbers ต้องเข้าใจรูปแบบไม่ใช่ตัวเลข การขายสินค้าออนไลน์ค่อนข้างมีรูปแบบ อย่างการจัดโปรโมชั่น 11 11, 12 12 ของ Marketplace แบรนด์ต่างๆ หรือสถานการณ์ก่อนและหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะรู้ทิศทางสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ สินค้าขายดี เช่น สินค้าแฟชั่น เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เมื่อถูกกระทบจากโควิดยอดขายจึงหดตัว เป็นต้น

“ไม่ต้องการให้ผู้ประกอบการยึดติดกับตัวเลขที่คาดการณ์ไปล่วงหน้า เพราะความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอน แม้จะมีดาต้า เราก็ไม่สามารถคาดการณ์อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก แต่การเข้าใจแพทเทิร์น ทำให้รู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำเราจะไม่พลาดอีก เช่น หากเกิดโรคระบาดอีกครั้ง จะทราบว่าสินค้าหมวดไหนจะตก อันไหนจะเติบโต ที่สำคัญคุณต้องไว้วางใจผู้อื่นมากขึ้นอย่าถือทุกอย่างไว้ที่ตัวเอง กระจายการทำงานที่ไม่ถนัดให้คนที่เค้าถนัดทำ คุณจะได้สามารถโฟกัสเฉพาะแค่สิ่งที่ถนัดได้ และหากเกิดวิกฤตอีก จะได้ยืดหยุ่นพอที่จะปรับแปลงบริบทได้แบบทันท่วงที ทั้งนี้ต้องระมัดระวังเรื่องการนำเงินไปลงทุน ต้องกระจายความเสี่ยง อย่าเพิ่งลงทุนหวังผลระยะยาวและความคุ้มค่า ลงทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่นก่อนดีกว่า”

อย่างไรก็ตาม 3 สิ่งที่พึงระวังดังกล่าว การใช้ข้อมูลหรือดาต้า ถือเป็นหัวใจสำคัญมาก ข้อมูลในอดีตเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการวางแผนงานได้แม่นยำ สังเกตเห็นว่าเราทำอะไรที่ผิดพลาด และ ทำยังไงให้ธุรกิจการค้าทำดีขึ้นกว่าเมื่อวานได้ ซึ่ง MyCloudFulfillment ในฐานะผู้ให้บริการด้านคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร มีจุดแข็งด้านดาต้าในกระบวนการ เก็บ แพ็ค ส่งที่ช่วยลูกค้าได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า (Order Management Data) ที่สามารถช่วยรวมออเดอร์ของแต่ละช่องทางการขายมาเป็นที่เดียว และ ช่วยให้จัดการข้อมูลการซื้อของลูกค้า จัดการช่องทางการขาย จัดโปรโมชั่นอย่างมีประสิทธิภาพ และ มองเห็นโอกาสการเติบโตได้ (Growth potential)

การบริหารจัดการข้อมูลการเก็บสต็อคสินค้า (Inventory Management Data) ที่สามารถช่วยแนะนำสต็อคสินค้าที่เหมาะสมของแต่ละ SKU ได้ (Stock optimization) ให้สามารถเห็นได้ว่าสินค้าตัวไหนเก็บเยอะเกินไปหรือน้อยเกินไป ขั้นต่ำที่ควรเก็บคือจุดไหน เมื่อสต็อคเหลือถึงจุดไหนถึงควรเติม ทั้งหมดจะช่วยให้ธุรกิจบริหารค่าใช้จ่าย ค่าเช่า การเก็บสินค้า และ การขนส่งเติมสินค้าให้พอดี เพื่อช่วยไม่ให้เงินจม และ การบริหารจัดการข้อมูลการแพ็คและส่งสินค้า (Fulfillment Performance Data) ที่สามารถช่วยให้มองเห็นกำไรและต้นทุนของ แต่ละสินค้าแต่ละออเดอร์ได้ ร้านค้าจะทราบได้ว่าสินค้าตัวไหนขายแล้วได้กำไรดี ตัวไหนขายแล้วขาดทุน สามารถช่วยแนะนำวิธีให้ร้านค้าทำให้การซื้อต่อครั้งแพงขึ้น และ ช่วยให้ทำกำไรได้ดีขึ้น

MyCloudFulfillment ได้รับเงินลงทุน Series A มูลค่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากผู้ลงทุน ได้แก่ ECG-RESEARCH, Gobi Partners, NVest Venture และ SCB 10X พร้อมขยายธุรกิจรับช้อปปิ้งออนไลน์โต

ทางด้าน ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัดและผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนผู้ลงทุนของ MyCloudFulfillment กล่าวว่า “ตลาดอีคอมเมิร์ซ และตลาดโลจิสติกส์ในเมืองไทยรวมถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูงและน่าจับตามองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 มีความเข้มข้น และด้วยบริการคลังสินค้าออนไลน์ จัดเก็บ แพ็คสินค้า ของ MyCloudFulfillment มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีความสามารถในการพัฒนารูปการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ อีกทั้งสามารถยกระดับการให้บริการไปสู่ระดับอาเซียนเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง ที่สำคัญมีศักยภาพที่จะก้าวไปเป็นผู้นำด้าน Fulfillment ที่มากกว่าแค่ เก็บ แพ็ค ส่งบนเวทีในระดับภูมิภาคได้ ประกอบกับ SCB 10X ให้ความสำคัญกับสตาร์ทอัพไทยและธุรกิจโลจิสติกส์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เราให้ความสนใจ เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนรอบ Series A ของทาง MyCloudFulfillment ร่วมกับผู้ลงทุนรายอื่น ๆ ซึ่งนอกจากการสนับสนุนด้านเงินลงทุนแล้ว เรายังมีแผนในการพัฒนาโซลูชันต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ Social commerce ในอนาคตรวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการและลูกค้าอีกด้วย”

“การทำให้ลูกค้าเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นภารกิจสำคัญของเรา”

ทั้งนี้ เงินทุนจะนำไปใช้ 2 ส่วน ส่วนแรกคือการพัฒนาระบบการจัดการด้านข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซบริหารจัดสินค้า ขายสินค้าได้ง่ายขึ้น นำข้อมูลสถิติ ที่มีมาใช้ในการทำ predictive analytics ได้มากขึ้น สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึง การพัฒนาศักยภาพด้านบริการแก่ลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต และส่วนที่สองคือการขยายฐานพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติม เราร่วมมือกับ agency และ E-commerce enabler ชั้นนำต่างๆ เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบวงจร รวมถึงพาตเนอร์พิเศษที่ร่วมกันพัฒนาโซลูชั่น เช่นรูปแบบ white label logistics ที่เราร่วมมือกับ SCG ด้านการขยายคลังสินค้า หรือ รูปแบบที่จับมือกับ SCB 10X ในการทำโซลูชั่นเพื่อร้านค้าในการทำ social commerce เพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภค

Partners ของ MyCloudFulfillment เล่าถึงโลกการขายในอนาคตและความร่วมมือ

นายไพฑูรย์ จิรานันตรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า จากผลกระทบที่เราได้รับจากช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19ที่ผ่านมา ทำให้ออเดอร์เราเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เอสซีจี ให้ความสำคัญกับเรื่องของการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอยู่เสมอ จากที่ทาง MyCloudFulfillment ได้นำเสนอไปเกี่ยวกับ อนาคตของโลกการค้า (Future of Commerce) ทำให้เราต้องวางแผนและพร้อมปรับตัวรับมือกับทุกสถานการณ์ สิ่งที่เราต้องทำคือ ปรับตัวให้เร็ว และ ทำตัวให้ยืดหยุ่น เราจึงพาร์ทเนอร์ร่วมกับ MyCloudFulfillment เพื่อช่วยกันปรับตัวไปสู่โลกอนาคต ถึงแม้ตลาด E-Commerce จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดก็ตามแต่เราต้องมีวิธีการรับมือ ซึ่งการเก็บรวบรวมดาต้าที่ดีจะช่วยนำมาสร้างมูลค่าให้ผู้ประกอบเติบโตและไปต่อได้ในโลกอนาคต
เอสซีจี เล็งเห็นศักยภาพ และ ผลงานที่ดีของ MyCloudFulfillment เราจึงเลือกจับมือด้วย เราเก่งเรื่อง hardware และเครือข่ายโลจิสติกส์ทั่วประเทศ แต่ MyCloud เก่งเรื่อง software และการจัดการ Fulfillment สำหรับลูกค้า B2C หรือ Online หากเราทั้งสองร่วมมือกัน เราทั้งคู่ก็จะไปข้างหน้าได้เร็วกว่า คุ้มค่ากว่า ซึ่งทั้งหมด เพื่อช่วยก้าวข้ามขีดความสามารถด้านการให้บริการ และตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ตลอดจนสนับสนุนให้ Ecosystem ของสตาร์ทอัพเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนตามแนวทางของเอสซีจี
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ
MyCloudFulfillment โทร.02-138-9920 https://www.mycloudfulfillment.com/
หรือ Facebook : MyCloudFulfillment หรือ LINE : @mycloudgroup :Cr;มณสิการ รามจันทร์ 

 

“แสงชัยกรุ๊ป” ผนึก “มิลวอกี้” ผู้นำตลาดเครื่องมือช่างระดับโลก รุกตลาดไร้สายปฏิวัติอุตสาหกรรมช่าง เปิด “RedZone” ส่งอุปกรณ์ช่างไร้สายคลุมทั่วประเทศ

0

พิมพ์ไทยออนไลน์//ผู้สื่อข่าวรายงานว่าแสงชัยกรุ๊ป จับมือผู้ผลิตเครื่องมือช่างแบรนด์ระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา “มิลวอกี้” (Milwaukee) ตกลงเป็นพันธมิตรร่วมกันอย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัว “RedZone” หรือ “Milwaukee One Stop Service” Flagship Store แห่งใหม่บนกรุงเทพฯ ตะวันตก จัดจำหน่ายนวัตกรรมอุปกรณ์ไร้สายสำหรับงานช่าง ทางออกใหม่ด้านความปลอดภัย ตอบโจทย์ด้านประสิทธิภาพและผลของงาน พร้อมลุยเดินหน้าเปิดตลาดเต็มรูปแบบ ส่งต่อนวัตกรรมไร้สายทั่วประเทศ หวังปฏิวัติอุตสาหกรรมช่าง เดินหน้าสองธุรกิจโตประสบความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืนนายอรรถวัฒน์ อัศวนิเวศน์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ กลุ่มบริษัท แสงชัยกรุ๊ป เผยว่า แสงชัยกรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ด้วยการเริ่มธุรกิจอะไหล่เครื่องปรับอากาศ คอมเพรสเซอร์ ท่อทองแดง วาล์ว แล้วขยายไปในส่วนของเครื่องทำความเย็น อุปกรณ์งานระบบจ่ายไฟฟ้า ตู้สวิทช์บอร์ด ระบบควบคุมอาคาร เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน จะเห็นว่าเกือบ 40 ปีที่ก่อตั้งบริษัทมา เราได้พยายามเป็นผู้บุกเบิกนำนวัตกรรมทางวิศวกรรมใหม่ๆ มาใช้ในประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพอุตสาหกรรมไทยและประสิทธิภาพด้านงานช่างให้เพิ่มสูงขึ้น โครงสร้างของบริษัทจึงเน้นไปที่การเพิ่มไลน์สินค้าที่ต้องตอบโจทย์ทั้งรูปแบบการใช้งานและคุณภาพของผลงาน เพื่อให้แสงชัยกรุ๊ปมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเป็นผู้ให้บริการอุปกรณ์และเครื่องมืองานระบบอย่างครบวงจรอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ตามเป้าหมายที่เราวางไว้“ผลิตภัณฑ์ของเราไม่เพียงแต่จะเน้นที่คุณภาพของอุปกรณ์ในงานระบบเท่านั้น เรายังคงเน้นคุณสมบัติในเรื่องของความทนทาน , สะดวกในการใช้งาน และความปลอดภัยของช่างที่ใช้งาน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งในการเฟ้นหาเจ้าของนวัตกรรมที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน ช่วยโยงแสงชัยกรุ๊ปเข้ากับผู้ผลิตเครื่องมือช่างจากสหรัฐอเมริกา อย่าง มิลวอกี้ (Milwaukee) ผู้ผลิตชั้นนำ ในอุตสาหกรรมเครื่องมือไฟฟ้าสำหรับงานหนัก อุปกรณ์เสริม และเครื่องมือทั่วไปสำหรับผู้ใช้มืออาชีพ ด้วยความตั้งใจในแง่มุมเดียวกัน ประกอบกับคุณภาพสินค้าของมิลวอกี้ที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วทั่วโลกเป็นเวลากว่า 90 ปี นั่นจึงทำให้ แสงชัยกรุ๊ป และ มิลวอกี้ ตกลงเป็นพันธมิตรร่วมกันอย่างเป็นทางการ บริษัทจะเปิด Flagship Store แห่งใหม่ เป็น ‘RedZone’ หรือ ‘Milwaukee One Stop Service’ จัดจำหน่ายสินค้าทุกกลุ่มของมิลวอกี้ ตั้งแต่ Power Tools, Hand Tools, Lighting และอื่นๆ รวมไว้ครบครัน”ด้าน Mr. Hardi Tjhang ( ฮาร์ดี้ ฉาง ) General Manager บริษัท เทคโทรนิค อินดัสตรี้ส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า มิลวอกี้มีความภูมิใจในฐานะที่เป็นผู้นำทางนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ให้กับผู้ใช้ในด้านต่างๆ ทั้งเรื่องความทนทานที่เหมาะกับการใช้งาน มีส่วนช่วยให้ได้งานมากขึ้น รวมถึงเรื่องความปลอดภัยที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ และเมื่อรวมแนวคิดดังกล่าวเข้ากับการวิจัยและพัฒนา นั่นทำให้เราสามารถสร้างเทคโนโลยีแบตเตอรี่ lithium-ion นำเสนอทางออกที่ดีขึ้นให้ผู้ใช้งาน พร้อมทั้งเครื่องมือไร้สายปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมให้กับคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าการเป็นพันธมิตรกับแสงชัยกรุ๊ป นั่นหมายถึงการได้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง สามารถส่งต่อนวัตกรรมที่เรามีไปได้ทั่วประเทศ นำมาสู่จุดมุ่งหมายถัดไปในการเติมเต็มให้ธุรกิจทั้งสองฝ่ายให้เติบโต และประสบความสำเร็จร่วมกันอย่างยั่งยืน“เป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้ว ที่มิลวอกี้เข้าสู่ตลาดในประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2563 นี้ การร่วมพันธมิตรอย่างเป็นทางการกำลังจะเริ่มขึ้นกับแสงชัยกรุ๊ป โดย RedZone แห่งใหม่ในโชว์รูมของแสงชัยกรุ๊ป ถือได้ว่าเป็นการเปิดตลาดใหม่ให้กับเครื่องมือช่างในไทยอีกครั้ง ด้วยความรู้ความเข้าใจที่กลุ่มช่างมืออาชีพมี มันแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนว่าพวกเขามีทางเลือกใหม่ ที่ช่วยให้งานเสร็จรวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จากนวัตกรรมเครื่องมือไร้สายทั้ง 3 กลุ่ม คือ เครื่องมือช่างไฟฟ้า (Power tool) เครื่องมือช่าง (Hand tool) และอุปกรณ์เสริม (Accessory) ที่อยู่ภายใน RedZone ซึ่งทันทีที่เหล่าช่างมืออาชีพเปิดรับนวัตกรรมเหล่านี้อย่างทั่วถึง พวกเขาก็จะจดจำ แสงชัยกรุ๊ป ในฐานะผู้นำนวัตกรรมเครื่องมือไร้สายของไทย และจดจำ มิลวอกี้ ในฐานะ Service Provider ที่เป็นมากกว่าแค่ผู้ผลิตเครื่องมือ”ทางด้าน นายอรรถวัฒน์ เผยถึงกลยุทธ์การทำตลาดของเครื่องมือไร้สาย ว่า จุดแข็งที่โดดเด่นของแสงชัยกรุ๊ปคือการทำงานเชิงรุก เราใช้เวลาเกือบ 40 ปี มุ่งเข้าหาลูกค้าจนทำให้บริษัทมีฐานลูกค้า
ที่กว้างขวาง โดยเฉพาะกลุ่มงานโปรเจค , โรงงานอุตสาหกรรม และผู้รับเหมางานระบบต่างๆ นั่นช่วยสร้างความได้เปรียบสำหรับการกระจายสินค้าแบบ Offline ได้เป็นวงกว้างไปสู่กลุ่มผู้ใช้โดยตรง อีกทั้งการเปิด RedZone ยิ่งจะทำให้การบริการหลังการขายของเราโดดเด่นมากยิ่งขึ้น Flagship Store แห่งใหม่จะดูแลครอบคลุมกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำเครื่องมือมาตรวจเช็คกับบริษัทได้โดยตรง ทั้งชื่อเสียงของมิลวอกี้ จะมาเสริมให้การทำ Online Digital Marketing ให้เครื่องมือไร้สายเป็นที่รู้จัก และเข้าถึงกลุ่มแฟนๆ ของมิลวอกี้และลูกค้าใหม่ ผ่านเครือข่ายออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ของบริษัท, Social media และ E-commerce marketplace ได้สะดวกและง่ายมากกว่าเดิมปัจจุบัน ตลาดเครื่องมือช่างในประเทศไทย มีความคล้ายคลึงกับธุรกิจ Consumer Durable Goods นั่นคือมีการแข่งขันสูง แต่ส่งผลดีกับผู้บริโภคสำหรับทางเลือกที่หลากหลาย และเครื่องมือไร้สายเองก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกเหล่านั้นเช่นกัน เครื่องมือไร้สายจึงไม่ได้ถูกพูดถึงในฐานะการอัปเกรดของเครื่องมือมีสาย หากแต่เป็นการเข้ามาแทนที่ เข้ามามีบทบาท และตอบโจทย์ในหลายๆ การใช้งานกับตลาดของเครื่องมือช่างทั้ง 20 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มระบบขนส่ง, บำรุงรักษารถ, งานระบบราง, กู้ภัย, หน่วยซ่อมบำรุงอาคาร, รับเหมาก่อสร้าง, งานเครื่องยนต์, ตกแต่งภายใน, งานโลหะ, งานระบบท่อ, ช่างอเนกประสงค์, ช่างประปา, ระบบไฟฟ้า, งานช่างไฟฟ้า, งานระบบท่อหล่อเย็น, งานช่างซ่อม, ช่างไม้, งานคอนกรีต,
งานรื้อถอน, งานผนังและฝ้าเพดาน อีกทั้งแสงชัยกรุ๊ป ยังมองถึงโอกาสในการขยายตลาดเครื่องมือไร้สายไปยังธุรกิจใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมรถยนต์, อุตสาหกรรมก๊าซและน้ำมัน, อุตสาหกรรมเคมี, กลุ่มงานราชการ และงานซ่อมบำรุงต่างๆ“RedZone” หรือ “Milwaukee One Stop Service” Flagship Store แห่งใหม่ จากการตกลงเป็นพันธมิตรร่วมกันอย่างเป็นทางการ ระหว่าง แสงชัยกรุ๊ป และ มิลวอกี้ ตั้งอยู่ที่ 88 ถนนบรมราชชนนี แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ สามารถติดตามข่าวสารและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 099-191-0008 หรือ www.sangchaigroup.com หรือfacebook.com/MilwaukeebySangchaiGroup และสามารถสั่งซื้อผ่านทางช่องทาง Authorized Partner ที่ www.wechillmart.com :Cr;มณสิการ รามจันทร์