วันอาทิตย์, มิถุนายน 1, 2025

หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยออนไลน์

หน้าแรก บล็อก หน้า 34

พาณิชย์ – DITP จัดกิจกรรมจับคู่เจรจาการค้าระหว่าง ผู้ส่งออกสินค้าน้ำตาลและน้ำตาลแปรรูปกับผู้นำเข้าฟิลิปปินส์

0

เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้า และโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้รับรายงานจากนางสาวสุธินี วัฒนา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ กรุงมะนิลา ว่าเพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาให้กับผู้ส่งออกสินค้าน้ำตาลและน้ำตาลแปรรูปที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกในปัจจุบัน กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ร่วมมือกับกรมการค้าต่างประเทศ และสมาคมอุตสาหกรรมน้ำตาลแปรรูปไทย ร่วมกันจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาการค้ากับผู้นำเข้าฟิลิปปินส์ ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมะนิลา

“โดยกิจกรรมการจับคู่เจรจาการค้าระหว่างผู้ส่งออกสินค้าน้ำตาลและน้ำตาลแปรรูปจำนวน 5 ราย กับผู้นำเข้าฟิลิปปินส์ จำนวน 8 ราย ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจจำนวน 32 คู่ ก่อให้เกิดมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น จำนวน 33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,127.61 ล้านบาท อีกทั้งยังเป็นการหาช่องทางในการส่งออกเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกใน

ปัจจุบัน รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้ขยายเครือข่ายธุรกิจในตลาดฟิลิปปินส์อีกทางหนึ่งด้วย” นางสาวสุนันทา กล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 สคต. ณ กรุงมะนิลา ได้นำคณะผู้ประกอบการไทยเข้าพบ นายพาโบล ลูวิส โซลา อัสโคนา ผู้บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสำนักงานกำกับดูแลน้ำตาล (Sugar Regulatory Administration : SRA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลอุตสาหกรรมน้ำตาลและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมหารือถึงกฎระเบียบและมาตรการการนำเข้าสินค้าน้ำตาลแปรรูป น้ำเชื่อมและน้ำตาลผสมล่วงหน้า และสร้างโอกาสทางการค้าให้ผู้ประกอบการไทยเพื่อให้เข้าใจถึงกฎระเบียบและมาตราการต่างๆ มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ ในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าน้ำตาลอื่นๆ (นอกจากน้ำตาลที่ได้จากอ้อยหรือหัวบีต) ไปยังตลาดฟิลิปปินส์ มีมูลค่า 14.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 486.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.99 จากปี 2566
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169

 

 

 

 

 

 

 

 

 

สำนักข่าวเนตรทิพย์-ท้องกินข้าว สมองกินข่าว!

0

https://linevoom.line.me/post/_dRwLP9ryDNNCNElq786ZFgDnUlb3FkZ4wdgFcto/1174381363022545042
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

 

 

สหภาพรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษฯ ลุกฮือคัดค้านคมนาคม – กทพ. เตรียมประเคนต่อขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัช ให้เอกชนรายเดิม

0

https://www.natethip.com/news.php?id=9824
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

 

 

ครม.ไฟเขียว “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”.. โอกาสครั้งใหญ่กระตุ้น “ท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ”

0

https://www.natethip.com/news.php?id=9823
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

 

 

“วราวุธ” กราบ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ หนุน พม. จับมือ พศ. ลงนาม MOU ทำงานร่วม บ้าน-วัด-ราชการ ช่วยกลุ่มเปราะบาง เป็นพลังพัฒนา ไม่เป็นภาระสังคม

0

พิมพ์ไทยออนไลน์//เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 ที่พระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราม วรมหาวิหาร กรุงเทพฯ เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร และประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม เป็นประธานพิธีฝ่ายบรรพชิต และนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานพิธีฝ่ายคฤหัสถ์ ในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ว่าด้วยการดำเนินงาน “โครงการเสริมพลังวัดพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง” ระหว่าง ฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม , สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมี เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร และประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม, นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายอินทพร จันเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมลงนาม

นายวราวุธ กล่าวว่า ในวันนี้เป็นวันสำคัญของกระทรวง พม. ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนา เพื่อบูรณาการการทำงานของกระทรวง พม. และวัด และต้องบอกว่าสังคมไทย ที่เราจะเดินหน้าไปด้วยกันนั้น คงไม่สามารถทำงานเพียงคนเดียวได้ แม้แต่กระทรวง พม. จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน ซึ่งกระทรวง ได้ขับเคลื่อนนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อรับมือกับปัญหาวิกฤตโครงสร้างประชากร และพันธกิจสำคัญ (Flagship projects) ข้อที่ 5 ในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรและการทำงานร่วมกับหลายฝ่าย วันนี้กระทรวง พม. ต้องกราบขอบพระคุณ เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ที่กรุณาให้ได้มายังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คือที่วัด และได้ลงนามใน MOU ที่จะทำให้วัดเป็นอีกหนึ่งในเครือข่ายในการทำงานที่จะช่วยดูแลพี่น้องกลุ่มเปราะบาง ทั้งพี่น้องคนพิการ หรือผู้สูงอายุ เพื่อทำให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น และดึงเอาศักยภาพมาเป็นพลังในสังคมไทย เพราะว่าสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบัน เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับพลัง และดึงพลังจากทุกภาคส่วนมาใช้ และที่สำคัญกลุ่มเปราะบาง ไม่ได้เป็นภาระของสังคมเลย ถ้าหากได้รับการส่งเสริม และได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้อง

             

นายวราวุธ กล่าวว่า การลงนามใน MOU วันนี้ ระหว่างกระทรวง พม. , ฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนา จะเป็นหนึ่งในก้าวที่สำคัญ โดยต้องขอบคุณทางคณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดการขับเคลื่อนนโยบาย รมว.พม. โดย นายธเนศพล ธนบุญวัฒน์ ผู้ช่วย รมต.พม. นายนิกร จำนง ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน คณะที่ปรึกษาติดตามและเร่งรัดการขับเคลื่อนนโยบายรมว.พม. ทำงานกับเครือข่ายวัดจากทั่วประเทศ และมีวัดตัวอย่าง ได้แก่ วัดถ้ำตะโก จังหวัดลพบุรี และวัดหัวฝาย จังหวัดเชียงราย ที่กระทรวง พม. ได้ไปทำกิจกรรมร่วมกันในการผสานพลัง บ้าน วัด และราชการ เพื่อทำให้พี่น้องกลุ่มเปราะบางกลายมาเป็นพลังของสังคมไทย ยกตัวอย่าง เช่น การดูแลพี่น้องกลุ่มผู้สูงอายุในวันนี้ซึ่งทางศาสนสถาน สามารถดึงกลุ่มพี่น้องผู้สูงอายุเข้ามาทำงาน หรือทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการทำให้ผู้สูงอายุเป็น Active Aging ไม่ได้อยู่เฉย ไม่เหงา ไม่ล้มป่วยง่าย เป็นผู้สูงอายุที่ติดสังคม ไม่ติดบ้าน และไม่ติดเตียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนไร้ที่พึ่ง คนไร้บ้าน ที่ทางวัดต่างๆ จะสามารถรวบรวมเข้ามา และนำมาฝึกฝีมือ เพื่อทำให้มีพลัง และเป็นพลังของสังคมไทยอีกครั้งหนึ่ง#ข่าวพม #พม #ศรส #esshelpme #5×5ฝ่าวิกฤติประชากร #พมหนึ่งเดียว #วราวุธศิลปอาชา #ศบปภ #พันธกิจสำคัญ9ด้าน #MOU #เสริมพลังวัดพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง :Cr;มณสิการ รามจันทร์

ผู้ช่วย รมว. กระทรวง อว.ลงพื้นที่การดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ผลักตันการท่องเที่ยวจากเมืองรองสู่เมืองหลักเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี

0

ผู้ช่วย รมว. กระทรวง อว.ลงพื้นที่การดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ผลักตันการท่องเที่ยวจากเมืองรองสู่เมืองหลักเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี

นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ลงพื้นที่การดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคกลาง-ตะวันตกประตูสู่ทวาย และการนำ อววน.สู่การพัฒนาท้องถิ่น
การผลักตันการท่องเที่ยวจากเมืองรองสู่เมืองหลักเขตเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรี และยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น ระหว่างวันที่ 3 – 4 เมษายน 2568 ณ จังหวัดกาญจนบุรี

วันที่ 4 เมษายน 2568 ณ จังหวัดกาญจนบุรี นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมคณะฯ ลงพื้นที่การดำเนินงานขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี โดยมีว่าที่ร้อยตรีศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พจนีย์ สุขชาวนา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี พร้อมด้วย ผู้บริหาร หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิจัย คณาจารย์ นักศึกษา พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกาญจนบุรี และสื่อมวลชน

ว่าที่ร้อยตรี ศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า จังหวัดกาญจนบุรี ขึ้นชื่อว่า “กาญจนบุรี เมืองแห่งความสุข” เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทั้งทางภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิต ซึ่งมีศักยภาพอย่างยิ่งในการพัฒนาและต่อยอดด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในทุกมิติ

การที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ความสำคัญกับการลงพื้นที่จริง เพื่อรับฟังความคิดเห็น และสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในระดับจังหวัด ถือเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง จังหวัดกาญจนบุรีพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมืออย่างเต็มที่ กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการบูรณาการกับหน่วยงานด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม และสร้างคุณค่าต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พจนีย์ สุขชาวนา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี กล่าวถึง นโยบายตามยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี อว.ส่วนหน้าจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนนโยบายของกระทรวงในการพัฒนากำลังคนที่มีศักยภาพสูง สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายในศตวรรษที่ 21 ในยุคปัจจุบัน และร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนท้องถิ่นในทุกมิติ

บทบาทและพันธกิจสำคัญของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี คือการเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาท้องถิ่น โดยให้บริการทางวิชาการ วิจัย และนวัตกรรม ที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง มหาวิทยาลัยจึงได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างองค์ความรู้ เสริมสร้างศักยภาพของชุมชน และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน

ในการนี้ มหาวิทยาลัยฯ ได้ดำเนินกิจกรรมตามยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การถ่ายทอดองค์ความรู้ การอบรมพัฒนาทักษะอาชีพ การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน การสนับสนุนการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ

ในโอกาสนี้ตัวแทนนักศึกษาและอาจารย์ ได้แสดงความเห็นแลกเปลี่ยนการขับเคลื่อนงานด้าน อววน.

นายเรวัฒน์ ตัวแทนนักศึกษาวิศวกรสังคม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กล่าวว่า ผมเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดอบรมน้องๆ และนำทีมน้องๆ ลงพื้นที่ ในการนำเครื่องมือของวิศวกรสังคม เริ่มตั้งแต่กระบวนการสำรวจความต้องการของชุมชน และขณะนี้ผมได้ดำเนินกิจกรรมพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุ ตำบลหนองโรง อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี โดยดำเนินการไปแล้ว 6 กิจกรรม เน้นในเรื่องการบริหารจัดการขยะให้มีมูลค่า การดำเนินงานผ่านไปด้วยดี แต่ยังมีบางส่วนที่ต้องการได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น หน่วยงานที่เข้ามาหนุนเสริมให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ต้องการให้มีกิจกรรมและมีการรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมทั้งด้านพัฒนาศักยภาพ ทั้งด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมให้คงอยู่ต่อไป

นายโรจนฤทธิ์ สิริล้อสกุลเพชร คณะวิทยาการจัดการ
กล่าว ทาง อว. มีนโยบายหรือโครงการใดบ้างที่สนับสนุนนักศึกษาหรือบัณฑิตที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง โดยเฉพาะในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การให้คำปรึกษา และการสร้างเครือข่าย

ตัวแทนอาจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ว่าที่ ร.ต.ดร.นพรัตน์ ไชยชนะ รองคณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ประเด็นคำถามถึง อว. เพื่อสะท้อนจากมุมพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี พื้นที่ชายแดนและกลุ่มชาติพันธุ์ในกาญจนบุรีมีลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ค่อนข้างมาก อว. มีแนวทางในการสนับสนุนการขับเคลื่อนงาน อววน. อย่างไรให้เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์และพื้นที่ชายแดน เช่น การสนับสนุนเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพคนในพื้นที่

อาจารย์จักษุมาลย์ วงษ์ท้าว อาจารย์สาขาวิชานวัตกรรมสังคมเพื่อการพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ กลไกขับเคลื่อนสำคัญในกระบวนการ Soft Power ของ อววน. โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนทุนวิจัยแก่สถาบันอุดมศึกษา ในปี 2569 และในอนาคตเป็นอย่างไร

ผู้ช่วยศาสตราจารย์คมสัน ศรีบุญเรือง อาจารย์สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ งานวิจัยบางงาน เช่น งานการขับเคลื่อนนโยบายจากผลงานวิจัย มีโอกาสหรือไม่ที่จะได้รับการสนับสนุนในระยะเวลาต่อเนื่อง เหมือนมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ จะมีโครงการศึกษาเบื้องต้น การพัฒนาเครื่องในปีแรก ปีที่ 2 ประยุกต์ใช้/ออกแบบนวัตกรรมในพื้นที่จริง 3. การใช้และประเมินผลกระทบในพื้นที่ เพื่อนำมาสู่การต่อยอดสู่นโยบาย ที่สามารถบูรณาการเป็นนโยบายของหน่วยงานจังหวัดได้ เช่น การท่องเที่ยวผ่านผัสสะเมืองเก่ากาญจนบุรี/ การขับเคลื่อนพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเมืองท่องเที่ยว เป็นต้น เนื่องจากงบประมาณที่ได้มาจะเป็นปีต่อปี ทำให้ขาดความต่อเนื่องสานต่อ

สำหรับผลงานคณะฯที่ออกบูธนำเสนอผลการดำเนินงาน
1.คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี น้ำมันไพลชาววัง , ยาดม , ยาหม่อง , สปาแช่เท้า : วิสาหกิจชุมชนวังขนายเฮิร์บ น้ำพริกกล้วยกรอบสมุนไพร , กล้วยแท่งกรุบกรอบ : วิสาหกิจชุมชนกลุ่มอาหารบ้านหินแหลม

2.คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ผลิตภัณฑ์จากชุมชนบ้านหนองบาง ตำบลลิ่นถิ่น อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย โครงการ “การจัดการทุนวัฒนธรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนตำบลท่าขนุน
อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี” (บพท.) ผลิตภัณฑ์ชุมชนวิถีลาวเวียง บ้านดอนคา ตำบลดอนคา อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

3.คณะวิทยาการจัดการ ผลิตภัณฑ์มะนาวดอง / มะนาวแช่อิ่ม / มัลเบอร์รี่และมะขามป้อมกวน : วิสาหกิจชุมชนแปรรูปสมุนไพรสวนมาลี ผลิตภัณฑ์ไวน์อ้อย น้ำตาลอ้อยแท้ 100% : วิสาหกิจชุมชนแปรรูปอ้อยตำบลหนองตากยา

4.คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ไม้ทำมือคนพิการ : วิสาหกิจชุมชนกลุ่มไม้ทำมือคนพิการ ตำบลจรเข้เผือก ผลิตภัณฑ์ผ้าทอกะเหรี่ยง ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

5.คณะครุศาสตร์Edu-Care-Play

นอกจากนี้ มีการแสดงต้อนรับ“ระบำศรีชัยสิงห์”
เป็นระบำโบราณคดีที่วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร ได้สร้างสรรค์ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่จากจินตนาการศิลปกรรมภาพจำหลัก ซึ่งภาพจำหลักนี้ ได้ลอกเลียนแบบมาจากปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นโบราณสถานที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ดัดแปลงมาจากท่ารำของนางอัปสรบายน ในสมัยขอมบายน มาเป็นหมู่ระบำนางอัปสรฟ้อนรำถวายพระนางปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นพระมารดาแห่งพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

แสดงโดย นักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี อำนวยการฝึกซ้อมโดย ผศ.ดร.พจนีย์ สุขชาวนา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และ
อาจารย์นนท์วริศ เกียรติศรุตสกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
ฝึกซ้อมการแสดงโดย อาจารย์ธนพล สามทองกล่ำ อาจารย์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี

 

ปีนี้ ไม้ผลตะวันออก ‘ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง’ ผลผลิตรวมกว่า 1.29 ล้านตัน เริ่มออกตลาดพ.ค.นี้!

0

นางสาวนริศรา เอี่ยมคุ้ย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 ชลบุรี (สศท.6) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงผลสรุปการจัดทำข้อมูลเอกภาพไม้ผลภาคตะวันออก ปี 2568 (ข้อมูล ณ 2 เมษายน 2568) โดย สศท.6 และศูนย์สารสนเทศการเกษตร สศก.ประชุมร่วมกับคณะทำงานย่อยเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ ภาคตะวันออก ติดตามสถานการณ์การออกดอกและติดผลของไม้ผล 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง ในพื้นที่ 3 จังหวัด (ระยอง จันทบุรี ตราด) สรุป ปี 2568 ปริมาณผลผลิตรวม ทั้ง 4 ชนิด มีจำนวน 1,298,482 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีจำนวน 999,211 ตัน (เพิ่มขึ้น 299,271 ตัน หรือร้อยละ 29.95)

เนื่องจากปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญและสภาพอากาศแปรปรวน ออกดอกติดผลน้อย ทำให้ปีนี้ได้พักต้นเพื่อสะสมอาหาร ต้นสมบูรณ์ พร้อมออกดอกติดผลได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับปีนี้สภาพอากาศเอื้ออำนวยทำให้การออกดอกและติดผลของไม้ผลทั้ง 4 ชนิดเพิ่มขึ้น สำหรับเนื้อที่ให้ผลของทุเรียนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 17 โดยเนื้อที่ให้ผลของทุเรียนเริ่มให้ผลผลิตในปี 2568 เป็นปีแรกเพิ่มขึ้น 72,908 ไร่ ถึงแม้บางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกชุกในช่วงต้นปีทำให้แตกใบอ่อนและผลเล็กร่วง แต่ภาพรวมผลผลิตยังคงเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผลผลิตทั้ง 4 ชนิด ได้ทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและจะออกต่อเนื่องจนถึงเดือนตุลาคม 2568 โดยผลผลิตจะออกมากที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2568 คิดเป็นร้อยละ 41 ของผลผลิตทั้งหมด

​สถานการณ์การผลิตไม้ผลทั้ง 4 ชนิด ทุเรียน มีปริมาณผลผลิตรวม 871,692 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีจำนวน 666,329 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยทำให้ทุเรียนออกดอกอย่างต่อเนื่องและปีนี้มีหลายรุ่น ขณะนี้ส่วนใหญ่อยู่ในระยะผลกลางและผลใหญ่ เริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนสิงหาคม 2568 แม้ในบางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากฝนตกชุกในชุดดอกระยะหางแย้ทำให้ดอกร่วง และลมพายุทำให้ระยะติดผลร่วง แต่ภาพรวมผลผลิตทุเรียนยังคงเพิ่มขึ้น โดยทุเรียนจะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2568 คิดเป็นร้อยละ 42 ของผลผลิตทุเรียนทั้งหมด มังคุด มีปริมาณผลผลิตรวม 258,746 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีจำนวน 181,306 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 43

จากสภาพอากาศหนาวเย็นช่วงปลายปี 2567 ต่อเนื่องช่วงต้นปี 2568 ทำให้ปีนี้มังคุดออกดอกเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมามาก ขณะนี้ส่วนใหญ่อยู่ในระยะผลอ่อนและผลเล็ก เริ่มทยอยเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม 2568 มังคุดจะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องถึงเดือนมิถุนายน 2568 คิดเป็นร้อยละ 73 ของผลผลิตมังคุดทั้งหมด เงาะ มีปริมาณผลผลิตรวม 159,695 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีจำนวน 144,136 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ปีนี้ออกดอกและติดผลเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา แม้ในบางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นลูกไม่สมบูรณ์ แต่ภาพรวมผลผลิตเงาะเพิ่มขึ้น ขณะนี้ส่วนใหญ่ อยู่ในระยะผลเล็กเริ่มสร้างเนื้อและเริ่มเก็บเกี่ยว ซึ่งเงาะที่เริ่มเก็บเกี่ยวได้แล้วคือเงาะสีทองของจังหวัดตราด เงาะเริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนสิงหาคม 2568 โดยเงาะจะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนพฤษภาคม 2568 คิดเป็นร้อยละ 45 ของผลผลิตเงาะทั้งหมด ลองกอง มีปริมาณผลผลิตรวม 8,349 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่มีจำนวน 7,440 ตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ขณะนี้ส่วนใหญ่อยู่ในระยะดอกบานเริ่มติดผลอ่อน เริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่เดือนเมษายน ถึงเดือนตุลาคม 2568 ผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม 2568 คิดเป็นร้อยละ 31 ของผลผลิตลองกองทั้งหมด

สำหรับแนวทางการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ของจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด ได้ใช้ข้อมูลปริมาณผลผลิต ที่จัดทำโดยคณะทำงานย่อยเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ภาคตะวันออกในการวางแผนบริหารจัดการผลไม้ในพื้นที่ ซึ่งแต่ละจังหวัดบริหารจัดการผลไม้แบบเบ็ดเสร็จด้วยตนเองผ่านกลไกของคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกร อันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) โดยเชื่อมโยงข้อมูลปริมาณผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการบริโภคของผลไม้แต่ละชนิด ทั้งนี้ เน้นมาตรการควบคุมป้องกันและแก้ไขปัญหาทุเรียนด้อยคุณภาพ (ทุเรียนอ่อน)
ออกสู่ตลาด เช่น มาตรการตรวจก่อนตัด วัดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียนที่สำนักงานเกษตรอำเภอทุกแห่ง และมาตรการตรวจคุณภาพทุเรียนในโรงคัดบรรจุ ซึ่งสุ่มตรวจสอบโดยสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 (สวพ.6) รวมทั้งการตรวจวิเคราะห์แคดเมียมและสาร Basic Yellow 2 (BY2) ทุกตู้/ชิปเม้นท์ตามมาตรการควบคุมการปนเปื้อน การส่งออกทุเรียนผลสดไปสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ในการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ โดยกระทรวงพาณิชย์มี 7 มาตรการ และ 25 แผนงาน ด้านการตลาดในการบริหารจัดการผลไม้รองรับผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด สำหรับหน่วยงานในพื้นที่สนับสนุนการกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตและมีแผนเผชิญเหตุ ช่วงที่ผลผลิตออกมาก (Peak) เช่น สำนักงานพาณิชย์จังหวัดมีมาตรการเชื่อมโยงตลาดและเตรียมช่วยเหลือเกษตรกรในกรณีผลผลิตออกมากและสนับสนุนกล่องบรรจุผลไม้ สำนักงานสหกรณ์จังหวัดสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนรวบรวมผลผลิต และอุปกรณ์การตลาดที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจและประสานคู่ค้า (Modern Trade) และสหกรณ์ทั่วประเทศเพื่อเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อผลผลิตและรณรงค์การบริโภคผลไม้ สำหรับไปรษณีย์จังหวัดสนับสนุนการกระจายผลผลิตโดยการบริการขนส่งผลไม้ด่วนพิเศษในอัตราค่าขนส่งพิเศษเฉพาะผลไม้สด และ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อรวบรวมผลไม้และแปรรูป

ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 (สสก.3) ได้นำข้อมูลเอกภาพไม้ผลภาคตะวันออกไปบริหารจัดการ ในการจัดตั้งวอร์รูมเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ทั้งปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดและราคาขายรายวัน โดยเริ่มรายงานตั้งแต่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป รวมทั้ง สศท.6 รวบรวมข้อมูลจัดทำ War Room Fruit Dashboard เพื่อใช้ในการรายงานและติดตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดและราคาผลไม้ ซึ่งสามารถติดตามเพื่อใช้ประโยชน์ เฝ้าระวัง เตือนภัยทางการตลาด ได้ที่ www.zone6.oae.go.th หากท่านใดที่สนใจข้อมูลเอกภาพไม้ผลภาคตะวันออก สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สศท.6 โทร 0 3835 2435 หรืออีเมล zone6@oae.go.th

 

 

 

 

สศก. เผย เกษตรกรไทย ถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดิน เฉลี่ยครัวเรือนละ 24.97 ไร่

0

นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนและแรงงานเกษตรของไทย โดยการถือครองและการใช้ประโยชน์ที่ดินของครัวเรือนเกษตร ปีเพาะปลูก 2566 พบว่า ครัวเรือนเกษตรของประเทศไทย มีที่ดินถือครองเฉลี่ย 24.97 ไร่ต่อครัวเรือน โดยร้อยละ 43.89 เป็นที่ดินที่เป็นของตนเองที่มีกรรมสิทธิ์ครอบครองเป็นเจ้าของ ส่วนร้อยละ 28.91 เป็นที่ดินที่เช่าผู้อื่น ไม่มีกรรมสิทธิ์ครอบครอง โดยจ่ายค่าเช่าเป็นเงินสด หรือผลผลิตหรืออื่นๆ ร้อยละ 18.19 เป็นที่ดินที่มีสิทธิ์เข้าทำประโยชน์ แต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ครอบครองเป็นเจ้าของ เช่น ที่ดินที่อยู่ในเขต ส.ป.ก. ร้อยละ 8.92 เป็นที่ดินที่ได้ทำฟรี ไม่มีกรรมสิทธิ์ครอบครองและไม่ได้จ่ายค่าเช่า และที่เหลือร้อยละ 0.09 เป็นที่ดินที่ครัวเรือนเกษตรรับจำนองหรือรับขายฝากผู้อื่น และนำมาใช้ประโยชน์เอง

ในจำนวนที่ดินที่ครัวเรือนเกษตรถือครองอยู่ จำนวน 24.97 ไร่นั้น แบ่งเป็นที่ดินที่นำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร เช่น การนำไปปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ หรือเป็นที่พักอาศัยบริเวณพื้นที่ทำการเกษตร จำนวน 24.27 ไร่ และเป็นที่ดินที่ใช้ประโยชน์นอกการเกษตร จำนวน 0.70 ไร่ ซึ่งเมื่อพิจารณาการใช้ประโยชน์ที่ดินที่นำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร พบว่าครัวเรือนเกษตรนำที่ดินใช้ในการเพาะปลูกข้าว จำนวน 11.82 ไร่ ใช้ในการเพาะปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง โดยรวมถึงการปลูกข้าวไร่ จำนวน 5.11 ไร่ ใช้ในการปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้น เช่น ทุเรียน ลำไย ปาล์มน้ำมัน และยางพารา จำนวน 5.03 ไร่ ใช้ในการปลูกพืชผักไม้ดอกไม้ประดับและสมุนไพร เช่น พริก ผักกาด กุหลาบ และกล้วยไม้ จำนวน 0.41 ไร่ และที่ดินที่เหลือจำนวน 1.90 ไร่ เป็นที่ดินที่ครัวเรือนเกษตรนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอื่น เช่น โรงเรือนสำหรับเลี้ยงสัตว์ บ่อปลา บ่อกุ้ง นาเกลือ และพื้นที่อยู่อาศัยบริเวณพื้นที่ทำการเกษตร เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับที่ดินที่ใช้ประโยชน์นอกการเกษตร จำนวน 0.70 ไร่ เป็นพื้นที่ที่ครัวเรือนเกษตรให้ผู้อื่นเช่าทำประโยชน์หรือให้ทำฟรี ทั้งในการเกษตรและนอกการเกษตร หากพิจารณาที่ดินที่ครัวเรือนนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตร พบว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 1.53 เป็นผลมาจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวยในช่วงครึ่งปีแรก ราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในเกณฑ์ดี ความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น และการสนับสนุนจากภาครัฐ ส่งผลให้ครัวเรือนเกษตรขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น

สำหรับข้อมูลภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนและแรงงานเกษตรของไทย ในเรื่องการถือครองและการใช้ประโยชน์ที่ดินของครัวเรือนเกษตร สศก. จะดำเนินการสำรวจทุกปี โดยเก็บข้อมูล ณ ต้นปีเพาะปลูกหรือ ณ ต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี สำหรับข้อมูลการถือครองและการใช้ประโยชน์ที่ดินของครัวเรือนเกษตร ปี 2567 สศก. จะเริ่มดำเนินการสำรวจในเดือนพฤษภาคม 2568 และข้อมูลประมวลแล้วเสร็จช่วงเดือนมีนาคม ปี 2569 ซึ่งข้อมูลดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในการจัดทำข้อเสนอแนะนโยบาย แผนงาน มาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาทางด้านการเกษตรให้เหมาะสม สำหรับท่านที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่ www.oae.go.th หรือสอบถามได้ที่ศูนย์สารสนเทศการเกษตร โทร 02 561 2870 อีเมล prcai@oae.go.th

 

 

 

 

 

 

 

สำนักข่าวเนตรทิพย์-ท้องกินข้าว สมองกินข่าว!

0

https://linevoom.line.me/post/_dRwLP9ryDNNCNElq786ZFgDnUlb3FkZ4wdgFcto/1174372546119175330
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)