พิมพ์ไทยออนไลน์ // “ทรู-ดีแทค”เร่งปิดดีลควบรวมกิจการ ไม่สน กมธ.สภาผู้แทนติดเบรกตั้งเรื่องสอบ ยื่นเรื่องขออนุมัติ กสทช.แล้ว หลังทำDue Diligence เสร็จตั้งแต่ปลายปี ขณะลูกค้ามือถือ 2 ค่ายมีเงิบ หลังร้อง กสทช. ถูกยื้อย้ายค่ายข้ามปี ล่าสุด ยังถูก กสทช. จับให้มานั่งไกล่เกลี่ย ทั้งที่ค่ายมือถือแหกประกาศ กสทช ขณะ”วัชระ”ยื่นหนังสือขอให้บิ๊กตู่ ติดเบรกดีลควบรวมอื้อฉาว
แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม เปิดเผยความคืบหน้าการควบรวมกิจการระหว่าง กลุ่มทรูและดีแทค เพื่อกรุยทางไปสู่การจัดตั้งบริษัทเทคคอมปานีร่วมกันว่า ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตรวจสอบและประเมินทรัพย์สินระหว่างกัน (Due diligence) เสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และได้ยื่นเรื่องขออนุมัติควบรวมกิจการต่อ กสทช ไปแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยขั้นตอนหลังจากนี้ สำนักงานกสทช.จะมีการตั้งคณะทำงานภายในเพื่อพิจารณาข้อเสนอของบริษัทถึงเหตุผล ความจำเป็นในการควบรวมกิจการ รวมทั้งพิจารณาผลกระทบที่มีต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมในภาพรวม โดยคาดว่าจะมีการจ้างที่ปรึกษาอิสระขึ้นมาดำเนินการศึกษา และจัดทำความเห็นประกอบด้วย เมื่อพิจารณาแล้วเสร็จจึงจะสรุปความเห็นเสนออนุกรรมการกสทช.ด้านกิจการโทรคมนาคม และ นำเสนอ กสทช.ชุดใหญ่เพื่อพิจารณาต่อไป
แหล่งข่าวกล่าวว่า การดำเนินการควบรวมกิจการทรู-ดีแทคดังกล่าว แม้นักวิชาการหลายภาคส่วนจะออกโรงคัดค้าน เนื่องจากเห็นว่าจะเป็นการลดทอนการแข่งขัน ก่อให้เกิดการผูกขาดเอาเปกรียบผู้ใช้บริการ รวมทั้งสภาผู้แทนราษฎรจะแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นศึกษาและตรวจสอบกรณีการควบรวมกิจการทรูและดีแทคดังกล่าวว่า เป็นการดำเนินการที่ขัดบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และส่งผลกระทบต่อสภาพการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม ก่อให้เกิดการผูกขาดหรือไม่ โดยมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ 90 วัน แต่กลุ่มทรูและดีแทคยังคงเดินหน้าเจรจาควบรวมกิจการ โดยไม่ฟังเสียงทัดทานแต่อย่างใด
ในส่วนของควันหลงดีลควบรวมกิจการ”ทรูและดีแทค” ที่ทำให้ผู้ใช้บริการของ 2 ค่ายยักษ์พาเหรดขอย้ายค่ายกันระนาว จนเกิดกรณีร้องเรียนท่วมโซเชียลว่า ถูกบริษัทสื่อสารผู้ให้บริการประวิงเวลา ไม่ยอมให้ย้ายตามประกาศกสทช.นั้น ล่าสุดยังคงมีประเด็นดราม่าเกิดขึ้นมา หลังลูกค้าผู้ใช้บริการพากันร้องเรียนไปยังสายด่วน กสทช.เพื่อให้เข้ามาจัดการกับเรื่องนี้แต่กลับถูกสำนักงานกสทช.มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องเรียนเข้ามาดำพเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกับบริษัทแทน โดยอ้างเป็นไปตามหลักเกณฑ์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของ กสทช.ท่ามกลางความงุนงงของผู้ใช้บริการ ที่เห็นว่าไม่น่าจะถูกต้อง เพราะการที่ผู้ให้บริการมือถือทั้งสองค่ายประวิงเวลาไม่ยอมอนุมัติให้ย้ายค่ายถือเป็นการดำเนินการที่ขัดประกาศ กสทช. ที่มีบทลงโทษที่ชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่จะให้ลูกค้าและบริษัทมาดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ย
“ล่าสุดนี้กลุ่มทรูยังได้ออกแคมเปญใหม่ 5G Flexy รับส่วนลดรายเดือน 50% กดราคาลงเหลือแค่ 199 บาท หวังดึงลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการ ทั้งที่ของเก่าที่จำเป็นต้องเจรจาควบรวมกิจการกับดีแทคก็ทำเอาลูกค้าผวาจะถูกแย่งใช้โครงข่ายจนต้องขอย้ายค่ายกันระนาวอยู่แล้ว แต่ก็ถูกบริษัทประวิงเวลาสารพัดรูปแบบ และยังถูก กสทช.ให้ท้ายไม่ยอมลงโทษบริษัท แต่กลับจะให้ลูกค้าไปดำเนินการเจรจาไกลเกลี่ยวข้อพิพาทกับบริษัทแทน”
“วัชระ”ร้อง “ลุงตู่” กระตุกดีลควบรวม
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 31 ม.ค.65 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ายื่นหนังสือถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้กำกับดูแลให้ กสทช. และคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า(กขค.)ดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายทุกฉบับโดยเคร่งครัด โดยไม่ให้มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีกลุ่มบริษัททรูจะควบรวมกิจการกับบริษัทดีแทค ซึ่งปรากฏว่ามีนักวิชาการ นักคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งประชาชนทั่วไปได้แสดงความกังวลถึงสิทธิของผู้บริโภคในการเลือกใช้บริการโทรคมนาคมพื้นฐานที่จะถูกลิดรอนไปจากการควบรวมกิจการดังกล่าว
เนื่องจากตามข้อมูลของ กสทช.ในปัจจุบันมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 141 ล้านเลขหมาย ผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 รายใหญ่ (ไอไอเอส ทรู และดีแทค) 132 ล้านเลขหมาย คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดรวมกันสูงถึงร้อยละ 93 และทั้ง 3 รายล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือตลาดทั้งสิ้น แต่เมื่อมีการควบรวมกิจการระหว่างกลุ่มทรูและกลุ่มดีแทคแล้วจะเป็นรายที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึงร้อยละ 57 ซึ่งถือว่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือตลาดเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญกว่านั้นการควบรวมนี้จะทำให้กลุ่มบริษัทใหม่หลังการควบรวมจะกลายเป็นผู้ถือครองคลื่นความถี่จำนวนมากที่สุดของประเทศ คือ 1,260 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย “มาตรา 60 …คลื่นความถี่เป็นสมบัติของชาติเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน … องค์กรดังกล่าว (กสทช.) ต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระแก่ผู้บริโภคเกินความจำเป็น … ป้องกันการ กระทำที่มีผลเป็นการขัดขวางเสรีภาพในการรับรู้หรือปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลหรือข่าวสารที่ถูกต้อง … และป้องกันมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของประชาชนทั่วไป…”
การควบรวมกิจการดังกล่าวอันเป็นการจำกัดลิดรอนสิทธิ์ของผู้บริโภค จึงถูกบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ กสทช. ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 “มาตรา 27 (11) กำหนดมาตรการป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผู้ขาดหรือก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขัน…” “มาตรา 27 (13) คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมิให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบกิจการ และ “มาตรา 31… ตรวจสอบการดำเนินการของผู้ประกอบกิจการฯ มิให้มีการดำเนินการใด ๆ ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค …”
นอกจากนั้นทั้งกลุ่มทรูและกลุ่มดีแทค ประกอบธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือไปจากกิจการที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. จึงต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 “มาตรา 51 …แจ้งผลการควบรวมธุรกิจต่อคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าภายใน 7 วัน เว้นแต่การควบรวมจะทำให้ผูกขาดหรือมีอำนาจเหนือตลาด ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการก่อนการดำเนินการ…” จึงขอให้นายกรัฐมนตรี กำกับให้หน่วยงานทั้งสองดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายทุกฉบับโดยเคร่งครัด โดยไม่ให้มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกใช้บริการโทรคมนาคมพื้นฐาน และอาจถูกครหาว่าเป็นผู้มีอำนาจหนุนหลังนายทุนเอกชนที่มีกำลังทรัพย์เอาเปรียบประชาชน.
