พิมพ์ไทยออนไลน์ // ต้องให้เครดิต “เจ๊รสนา โตสิตระกูล” อดีต ส.ว.เขาจริงๆ…กับการออกโรงเรียกร้องให้กระทรวงพลังงานปรับลดราคาน้ำมันลงจนได้ผล เพราะช่วงขวบเดือนที่ผ่านมา เฉพาะเดือนกันยายนเพียงเดือนเดียว ราคาน้ำมันดาหน้าปรับขึ้นราคาไปถึง 6 ครั้ง ทำเอาประชาชนผู้บริโภคเดือดร้อนไปตามๆ กัน โดยเฉพาะราคาดีเซล ที่เป็นต้นทุนของผุ้ประกอบการขนส่งและพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายที่ขึ้นพรวด ๆ ๆ ทะลุไปถึง 31 บาท
ก็มีแต่“เจ๊รสนา โตสิตระกูล” นั่นแหล่ะที่ออกโรงเรียกร้องให้กระทรวงพลังงานหามาตรการบรรเทาผลกระทบของผู้บริโภค ไม่งั้นจะมี รมต.พลังงานเอาไว้ทำอะไร พร้อมทั้งรุกคืบให้กระทรวงพลังงานถอดน้ำมันชีวภาพออกจากโครงสร้างราคาน้ำมันไปเลย ไม่ใช่แค่ปรับน้ำมัน B7 หรือ B10 ไปขาย B6 เพราะเป็นแค่การลดกระแสความไม่พอใจของผู้เคนในสังคมเท่านั้น ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุที่น้ำมันชีวภาพแพงกว่าดีเซลปกติเป็นเท่าตัวไปแล้ว จึงควรยกเลิกตลาด B20 ยกเลิก E85 น้ำมันชีวภาพไปเลย เพราะโครงสร้างราคาบิดเบี้ยวไปจากอดีตหมดแล้ว
งานนี้ทำเอา รมต.พลังงานก้นร้อนต้องเรียกปะขุมคณะกรรมการบริหารพลังงาน( กบง.)และยอมปรับลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนลง 1 บาท และปรับลดค่าการตลาดลงเหลือ 1.40 บาท/ลิตร ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวลงมาต่ำกว่า 30 บาท/ลิตรได้
เห็นบทบาทของเจ๊รสนาที่มีต่อราคาน้ำมันแล้ว เลยนึกเลยไปถึงองค์กรเพื่อผู้บริโภคทั้งหลายแหล่ที่ไม่รู้หายศรีษะกันไปไหนถึงปล่อยเจ๊ลุยเดียวอยู่ได้ (แต่ก็ได้ผล) หรือมัวแต่ไปกระทุ้งแต่เรื่องไร้สาระอย่าง SMS แมสเสจขยะปล่อยเงินกู้ ขายของบนมือถือ ซึ่ง กสทช.เขาก็เรียกค่ายมือถือน้อยใหญ่ทั้งหลายหาทางบล็อก SMS ขยะเหล่านั้นแล้ว แต่ที่ยังเล็ดรอดออกมาทางช่องทางอื่น ๆ นั้นบางครั้งมันก็เหลือบ่ากว่าแรงที่เทคโนโลยีจะตามทัน แต่สิ่งเหล่านั้นมันก็แค่เมล์ขยะ SMS ขยะรำคาญใจที่ทำให้แค่หงุดหงิดเท่านั้น หากทุกฝ่ายร่วมมือถือเมินไม่เปิดหรือเจอเป็นกดรายงานไปเสียมันก็จบ
แต่กับเรื่องของราคาน้ำมันนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนไปทุกหย่อมหญ้า กลับเงียบหายเข้ากลีบเมฆ ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับปากท้องของประชาชน เพราะไม่เพียงแต่กระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเท่านั้น ผลพวงจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันนั้น ยังจะลาเอาราคาก๊าซ และ LNG ที่กระทรวงพลังงานยังไม่สามารถจะผ่าทางตันปัญหาการจัดหาก๊าซป้อนโรงไฟฟ้าในช่วงเปลี่ยนผ่านสัมปทานแหล่งก๊าซในอ่าวไทยในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าด้วยอีก
สิ่งเหล่านี้ทำไมเครือข่ายเพื่อผู้บริโภคทั้งหลายไม่คิดจะลงมากระทุ่งหน่วยงานทรี่รับผืดชอบให้กระตือรือร้นแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้เป็นรูปธรรม
เช่นเดียวกับเรื่องที่เครือข่ายเหล่านี้เคยออกโรงกระทุ้งพาณิชย์ กระทุ้งคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า(กขค.)อย่างเอาเป็นเอาตายต่อการอนุมัติควบรวมกิจการค้าปลีก-ค้าส่งยักษ์ ที่จะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและลด ทางเลือกของผู้บริโภคลงนั้นวันนี้เขาหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันเรียบวุธเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว ประชาชนผู้บริโภค เดินเข้าห้างค้าปลีก -ค้าส่งของกลุ่มทุนเจ้าสัวแล้ว อย่าหวังจะเลือกหาสินค้าแบรนด์อื่นใด เพราะหมดสิทธิ์เลือกแล้ว มีแต่ถูกมัดมือชกให้ซื้อแต่สินค้า “เฮาส์แบรนด์” และสินค้าจากในเครือกลุ่มทุนเจ้าสัวเท่านั้น
ไร้เงาตัวตนเครือข่ายเพื่อผู้บริโภคที่จะออกโรงปกป้องผู้คนไปซะฉิบ จนประชาชนคนไทยเริ่มคิด “แล้วเครือข่ายที่ว่ามีอยู่ทั่วประเทศ หายไปไหนกันหมดไม่ทราบ!
