พิมพ์ไทยออนไลน์ // สังคมถามหาบทบาท สคบ.-องค์กรเพิ่อผู้บริโภคหายไปไหน กลุ่มทุนหัวหมอชำแหละหมู-ไก่แยกชิ้นส่วนขายยี่ห้อเดียว ปิดทางเลือก ยังไม่ถือว่าเอาเปรียบผู้บริโภคหรือ
เกือบขวบปีนับจากที่ “คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.)” ต้อง “เสียรางวัด” ไปให้กลุ่มทุนค้าปลีกค้าส่งยักษ์ของประเทศที่ขออนุมัติควบรวมกิจการกันเองจนทำให้กลุ่มทุนค้าปลีกที่มีอำนาจเหนือตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดจนแทบจะผูกขาดธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งแบบเบ็ดเสร็จ!
แม้คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า(กขค.) จะอ้างว่าได้กำหนดเงื่อนไข 7 ข้อให้ยักษ์ค้าปลีก ค้าส่งจะต้องดำเนินการภายหลังการควบรวมกิจการ แต่มาตรการเหล่านั้น ได้รับการปฏิบัติ หรือได้ผลมากน้อยแค่ไหน ประชาชนคนไทยได้รับการปกป้องคุ้มครอง มีหนทางเลือกในการซื้อสินค้าและบริการได้มากขึ้นหรือไม่นั้น ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดี
เพราะเกือบขวบปีที่ผ่านมา เราไม่เคยได้เห็นสำนักงานแข่งขันทางการค้า จะได้ลงไปตรวจสอบและรายงานความคืบหน้าในการบังคับใช้มาตรการก่อนการควบรวมกิจการที่ว่านี้ แม้แต่น้อย
ที่เห็นและเป็นไปล่าสุด เมื่อกลุ่มทุนยักษ์ค้าปลีกจัดทัพปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ด้วยการประกาศโอนกิจการ Lotus’s หรือ “เทสโก้ โลตัส” เดิมที่กลุ่มเทคโอเว่อร์เข้ามาเข้าไปรวมอยุ่ในบมจ.สยามแมคโคร เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่ม รองรับการสยายปีกกิจการในระดับภูมิภาค ก็ทำเอา กขค.ถึงกับฟ้อนเงี้ยวสั่งให้สำนักงานฯเร่งดำเนินการตรวจสอบว่า การโอนกิจการดังกล่าวขัดกับข้อตกลงใน MOU ที่มีอยู่หรือไม่
ก่อนที่เรื่องจะเงียบหายเข้ากลีบเมฆตามเคย!!!
อย่างไรก็ตาม หากทุกฝ่ายจะได้สำรวจบรรดาสินค้าอุปโภค บริโภค โดยเฉพาะอาหารสดที่จำหน่ายอยู่ในห้างค้าปลีก ค้าส่งยักษ์เหล่านี้ จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างไปจากสินค้าที่ขายอยู่ตามตลาดสด ตลาดชุมชนโดยทั่วไปโดยสิ้นเชิง
ความหลากหลายของสินค้าแต่ละประเภทที่ควรจะมีให้ผู้บริโภคได้เลือกสรรนั้น กลับหายเข้ากลีบเมฆ โดยห้างค้าปลีกค้าส่งยักษ์ที่ได้มีการปรับปรุงสินค้าอุปโภคบริโภคที่วางจำหน่ายบนเชลฟ์ รวมไปถึงสินค้าอาหารสดของตนเองทั้งหมด และเน้นการขายสินค้าที่เป็นสินค้า “เฮาส์แบรนด์” หรือสินค้าที่มาจากบริษัทในเครือ
เกือบทั้งหมด
ขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารสดทั้งไข่ไก่ ไก่ กุ้ง ปลา หมู หรือผักต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวบ้านร้านรวงโดยทั่วไปนั้น ก็มีการปรับโฉมใหม่ที่ดูผิวเผินแล้วเหมือนห้างยักษ์ที่สินค้าให้เลือกละลานตา แต่ที่จริงแล้วก็ล้วนแต่สินค้าเฮาส์แบรนด์ และจากเครือบริษัทของกลุ่มเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับผู้บริโภคที่ต่างเห็นว่าถูกเอาเปรียบ เพราะแทบไม่มีหนทางเลือกอื่น
ไหนว่าภายหลังการควบรวมกิจการแล้ว กขค.ได้กำหนดเงื่อนไขให้ยักษ์คร้าปลีกต้องส่งเสริมและเพิ่มสัดส่วนสินค้าเอสเอ็มอีปีละไม่ต่ำกว่า 10% แต่สิ่งที่เห็นกลับตรงข้าม มีแต่สินค้าเฮาส์แบนด์ของกลุ่มที่เพิ่มเข้ามา ขณะที่สินค้าแบรนด์หรือยี่ห้ออื่น ๆ ถูกเก็บออกไปหมด ยิ่งในส่วนของเนื้อสัตว์นั้นที่เห็นกะบะจำหน่ายหมู ไก่ ที่วางขายอยู่เป็น 10-20 กะบะละลานตานั้น ก็เป็นเพียงการแยกชิ้นส่วนหมู ไก่ออกมาขายเท่านั้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของคนคือแทนที่จะขายไก่สดทั้งตัวก็แยกปีกรวม ปีกบน ปีกกลาง ปีกปลาย ข้อ เอ็น โครงไก่ ตีนไก่ออกมาขายเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นให้ผู้บริโภคเอาเลยสู้ตลาดสดโดยทั่วไปยังไม่ได้เลย ที่มีให้เลือกเป็นสิบเป็นร้อยยี่ห้อ อย่างนี้จะเรียกว่า เพิ่มทางเลือกใมผู้ประชาชนผู้บริโภคได้อย่างไร”
แหล่งข่าว ยังแสดงความแคลงใจต่อบทบาทขององค์กรหลักที่ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคอย่างสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)หรือสำนักงานแข่งขันทางการค้าฯ มัวทำอะไรอยู่ เหตุใดจึงไม่มีการตรวจสอบเรื่องเหล่านี้
ยิ่งในส่วนของ เครือข่ายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค ที่เคยเป็นหัวหอกในการคัดค้านการควบรวมกิจการ ถึงขั้นนำเรื่องฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้เพิกถอนมติควบรวมกิจการก่อนหน้านี้ ด้วยเกรงจะก่อให้เกิดการผูกขาด จนส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภคที่จะถูกจำกัดทางเลือก แต่ล่าสุดกลับเงียบหายเข้ากลีบเมฆ ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
เห็นแล้วก็ให้นึกเลยไปถึงแถลงการณ์ของ “ไผ่ทองไอศกรีม”ล่าสุดต่อกรณีที่ลุงขายไอศกรีมไผ่สีทองถูกเทศกิจจับยึดโหลใส่ท็อปปิ้งเมื่อเร็วๆ นี้
โดยแถลงการณ์ของไผ่สีทองไอศกรีมนั้นระบุว่า “เนื่องจากธุรกิจขายเร่เป็นอาชีพเก่าแก่ของโลกและของคนไทย พ่อค้าแม่ค้าธุรกิจนี้ส่วนใหญ่เป็นคนตัวเล็กที่มีเงินลงทุนไม่มาก จึงไม่ได้มีเงินพอสำหรับการเช่าร้านหรือพื้นที่ในการขายจำเป็นที่ต้องออกขายไปตามแหล่งต่างๆ ที่อาจขัดกับระเบียบกฎหมายบ้านเมือง”
แค่ประเด็นรถเร่ขายไอศกรีมจอดขายริมทางเท้า ฟุตบาธ ก็ถูกเทศกิจจับปรับ และยึดเครื่องมือทำมาหากิน จนผู้คนแทบจะหมดทางทำมาหากิน แต่กับทุนยักษ์ค้าปลีกค้าส่งที่กระทำผิดกฎหมายแข่งขันทางการค้ากันโจ๋งครึม แต่ผู้รักษากฎหมายกลับทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนเหล่านี้ราวกับว่าตนเองถูกจัดตั้งมาเพื่อการนี้หรือไม่?