พิมพ์ไทยออนไลน์ // แวดวงค้าปลีกสงสัยบทบาทคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าผกขค.) หลังมีอึ้งกลุ่มซีพี จัดทัพธุรกิจใหม่ โยกโอนกิจการโลตัสซุกปีกสยามแมคโคร หล่อหลวมเป็นเนื้อเดียวกันโดย
ไม่หารือหรือสอบถามหน่วยงานกำกับ กขค. แม้แต่น้อย
หลังจากที่บมจ.สยามแมคโคร (Makro) ได้ทำเรื่องแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์และนักลงทุนถึงการจัดทัพกลุ่มธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งใหม่ของกลุ่มซีพี โดยให้โอนกิจการโลตัส ไปให้แก่บริษัท “สยามแม็คโคร”
ของกลุ่มซีพี.ด้วยกัน จนทำให้ประธานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าออกโรงสั่งให้สำนักงานแข่งขันทางการค้าเร่งลงไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าวว่า เป็นการดำเนินการที่ขัดเงื่อนไขข้อตกลงที่ทางกลุ่ม
ได้ลงนามไว้กับภาครัฐหรือไม่
แหล่งข่าวในวงการค้าปลีก เปิดเผยว่า การจัดทัพกลุ่มธุรกิจค้าปลีกค้าส่งใหม่ของกลุ่มซีพี ซึ่งจะยังผลให้ บมจ.สยามแมคโครกินรวบธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งครบวงจร และยังหล่อหลอมเป็นเนื้อเดียวกับ
บริษัทซีพีออล์หรือ เซเว่น-อีเลฟเว่น เนื่องจากภายหลังการดำเนินการแล้วเสร็จ สยามแมคโครจะมี CPALL (7-11) ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม 65.97% เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง (CPH) 20.43%
และ ซี.พี.เมอแชนไดซิ่ง (CPM ) 10.21% จนทำให้ประธานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าถึงกับนั่งไม่ติด และสั่งให้มีการตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การกระทำของกลุ่มซีพีที่ให้ดำเนินการจัดกลุ่มธุรกิจใหม่และให้มีการโอนกิจการค้าปลีก ค้าส่งภายในเครือโดยไม่ต้องหารือหรือสอบถามไปยังคณะกรรมการแข่งขัน
ทางการค้าก่อนนั้น สะท้อนให้เห็นว่า ทางกลุ่มธุรกิจดังกล่าวไม่ได้ให้ความสำคัญกับสำนักงานแข่งขันฯและบอร์ด กขค.ใดๆเลย จึงไม่มีความจำเป็นต้องรายงาน หรือขอความเห็นชอบใดๆ
ทั้งที่ในเงื่อนไขการรับโอนกิจการที่ว่านี้ มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่ารวมไปถึงบรรดาทรัพย์สินหนี้สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะหมายรวมไปถึงบรรดาลูกหนี้การค้า
บรรดาข้อตกลงทางการค้า ซัพพลายเออร์ทั้งฟลายทั้งปวงที่กลุ่มโลตัสเคยมีอยู่ ที่จากนี้จะต้องถูกโยกไปรวมอยู่ใต้ปีกของสยามแมคโครทั้งหมด จนก่อให้เกิดคำถาม หากซัพพลายเออร์ที่เคยทำสัญญา
จัดส่งสินค้าให้แก่สยามแมคโครและกลุ่มโลตัสแยกเป็น 2 3 4 สัญญา เมื่อทั้งสองบริษัทผนวกเข้ามาเป็นเครือเดียวกันเช่นนี้ จะส่งผลไปถึงการจัดทำข้อตกลงใหม่ ส่งผลไปถึงการใช้ข้อมูล Data ใหม่ที่
หมิ่นเหม่ต่อข้อท้วงติงและข้อตกลงที่ทำไว้กับรัฐหรือไม่ ใครหล่ะจะตรวจสอบได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อประธานบอร์ด กขค.ออกมาเปิดเผยกับสื่อว่า กำลังให้ฝ่ายกฎหมายของสำนักงาฯได้ตรวจสอบว่า กรณีการโอนกิจการดังกล่าวเป็นการผิดเงื่อนไข 7 ข้อที่คณะกรรมการแข่งขันทางการ
ค้ากำหนดไว้ จึงทำให้ผู้ที่เฝ้าติดตามกรณีอนุมัติควบรวมกิจการค้าปลีก ค้าส่งยักษ์มาตั้งแต่ต้นได้แต่ส่ายหัว และเห็นว่า ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นผลมาจาก การบังคับใช้กฎหมายแบบ “ไม้
หลักปักเลน” ของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าเอง จนถูกผู้คนในสังคมสักยอกเอาว่ากฎหมายแข่งขันทางการค้า และคณะกรรมการแข่งขันทางวการค้าของไทยนั้นมีก็เหมือนไม่มี
ทั้งนี้ เงื่อนไข 7 ข้อที่ กขค.กำหนดให้กลุ่มซี.พี.ต้องปฏิบัติในการควบรวมกิจการกับเทสโก โลตัสนั้น ประกอบด้วย
1. ห้ามธุรกิจในเครือควบรวมธุรกิจค้าปลีกค้าส่งรายอื่นนาน 3 ปี ไม่รวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
2. หลังควบรวมแล้วให้เพิ่มสัดส่วนสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี
3. หลังควบรวมแล้ว ห้ามมิให้ใช้หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการตลาด
4. ให้คงสัญญาที่ทำไว้กับซัพพลายเออร์อย่างน้อย 2 ปี
5. กำหนดระยะเวลาเครดิตเทอม กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นเวลา 30-45 วัน เป็นเวลา 3 ปี
6. ให้รายงานผลประกอบการต่อ กขค. เป็นเวลา 3 ปี
7. หลังควบรวมแล้วให้จัดทำ code of conduct เผยแพร่ต่อสาธารณะ
การโยกโอนกิจการของกบุ่มโลตัสเข้ามาหลอมรวมอยู่ในแมคโคร จึงหม่ินเหม่ที่ข้อมูล Data ทั้งหมดของซัพพลายเออร์จะถูกใช้ร่วมกันในข่อ 3 และข้อ 4 และอาจนำมาสู่การ้จรจาปรับปรุงสัญญาระ
หส่างกันใหม่ยกกระบิ
ที่ผ่านมาเกือบปีนั้น ทางกล่ะมซีพี มี การดำเนินการตามเงื่อนไขที่ให้ไว้กับสำนักงานแข่งขันทางการค้าหรือไม่โดยเฉพาะเงื่อนไขข้อ2 ที่ต้องส่งเสริมผู้ประกอบการ sme เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10 %ต่อปี
ส่วนนี้ บริษัทและ กขค.กลับไม่เคยรายงานต่อสาธารณะว่าคืบหน้าถึงไหน
“สิ่งที่ทุกฝ่ายประจักษ์ ในวันนี้ Tesco Lotus ที่ปรับเปลี่ยนเป็น Lotus รั้นมีการเพิ่มสินค้า “เฮ้าส์แบรนด์”ของตนเองเข้ามาในเชลฟ์แทนยี่ห้ออื่นๆิเกือบหมดแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่า สำนักงานได้เคยลง
ไปตรวจสอบหรือไม่”