พิมพ์ไทยออนไลน์ // งานงอกกันถ้วนหน้า! กับมหากาพย์ การประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ระยะทาง 35.9 กม. วงเงินลงทุน 1.42 แสนล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ฝ่ายบริหาร รฟม.และกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 สั่งยกเลิกการประมูลไปก่อนหน้า
ด้วยข้ออ้าง ไม่สามารถรอฟังคำสั่งอุทธรณ์จากศาลปกครองสูงสุด และรอผลตัดสินของศาลปกครองกลางกรณีถูกบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูล คือ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ยื่นฟ้อง รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกที่ปรับเปลี่ยนเกณฑ์คัดเลือกที่แตกต่างไปจากเอกสารประกวดราคา (RFP)เดิม ภายหลังปิดการขายซองประกวดราคาไปแล้ว
และแม้ รฟม.จะชี้แจงเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์คัดเลือกดังกล่าวต่อศาลปกครอง และศาลปกครองสูงสุดมา กว่า 3 เดือน แต่จนถึงวันนี้ ศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองกลางก็ยังไม่มีคำสั่งใดๆ ลงมา จึงเกรงว่าหากยังคงรอต่อไปอาจกระทบต่อ “ไทม์ไลน์” การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าที่วางไว้
รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือก จึงเห็นชอบให้ล้มประมูลคัดเลือกไปก่อน และจะเร่งรัดประกวดราคากันใหม่ ซึ่งน่าจะใช้เวลาไม่มากนัก เมื่อเทียบกับการรอการพิจารณาตามกระบวนการศาล หลายฝ่ายได้แต่ “อึ้งกิมกี่” ในเหตุผลของ รฟม.ข้างต้น ทั้งๆ ที่ไม่สามารถจะ Defense ชี้แจงให้ความกระจ่างต่อศาล เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งของศาลปกครองกลางที่มีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้เกณฑ์คัดเลือกเจ้าปัญหาได้ อันเป็นเครื่องชี้ชัดว่า แม้แต่ศาลปกครองก็ยังไม่เล่นด้วย แล้วคณะกรรมการคัดเลือกยังจะ “ดั้นเมฆ” ขุดเอาเกณฑ์เจ้าปัญหาดังกล่าวมาใช้ประมูลคัดเลือกต่อไปให้งานเข้ากันอีกหรือ!
ล่าสุด! ทั้งฝ่ายบริหาร รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือก กลับต้อง “ช็อคตาตั้ง” กันอีกเมื่อ BTS ได้ส่งทนายยื่นฟ้องฝ่ายบริหาร รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกกราวรูดต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางในความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อาญา มาตรา 157 และ 165 แถมพ่วง พรบ.ป.ป.ช.มาตรา 172 แถมพ่วงไปอีกคดีอีกด้วย!
งานงอกล่ะทีนี้!
เรื่องที่ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือก ออกมายืนยันนั่งยัน จำเป็นต้องล้มประมูลโครงการนี้ไปก่อน เพราะไม่สามารถรอผลการพิจารณาในชั้นศาลและศาลปกครองสูงสุดได้ เพราะจะกระทบ “ไทม์ไลน์” การก่อสร้างและให้บริการรถไฟฟ้าที่วางไว้เดิมนั้น วันนี้ไม่เพียงจะกลายเป็นการ “เสียค่าโง่” ที่ทำให้รถไฟฟ้า สายสีส้ม จ่อเผชิญทางตันแล้ว ทั้งฝ่ายบริหาร รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกเอง ยังจ่อจะ “หายใจไม่ทั่วท้อง” หนักเข้าไปอีก ! เพราะถูกบริษัทเอกชนยื่นฟ้องทุจริตกันกราวรูด
อันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า การที่ รฟม.ดอดไปถอนคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ด้วยข้ออ้างได้ยกเลิกการประมูลตามอำนาจที่ตนเองมีนั้น วันนี้ไม่เพียงจะสะท้อนให้เห็นว่า ที่ผ่านมา รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกไม่ได้มีการพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาการประมูลโครงการนี้อย่างรอบคอบและเหมาะสมแล้ว
การ “ชงเอง-ตบเอง” ในการสั่งล้มประมูลโครงการไปก่อนหน้านั้น ก็ไม่รู้ว่า รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกได้เคยสอบถามฝ่ายกฎหมายตนเองด้วยหรือไม่ว่า คดีความที่คาราคาซังอยู่ในศาลจากการที่ถูก BTS ยื่นฟ้องกราดรูด กรณีเปลี่ยนแปลงเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าวได้ยุติลงไปด้วยหรือไม่ การล้มประมูลโครงการเดิมได้ทำให้คดีความที่คาราคาซังอยู่ในชั้นศาลต้องยุติลงไปด้วยหรือไม่ ?
ที่สำคัญ หากท้ายที่สุดศาลปกครองมีคำพิพากษาออกมาว่า เกณฑ์คัดเลือกเจ้าปัญหาของ รฟม.ดังกล่าว ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเกณฑ์ประมูลที่เอื้อประโยชน์ต่อเอกชนรายหนึ่งรายใดแล้ว ไม่เพียงฝ่ายบริหาร รฟม.และกรรมการคัดเลือกจะถูกเชือดกันกราวรูด เฉกเช่น “โครงการรถฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์” ของการรถไฟฯ ที่เพิ่งถูกศาลอุทธรณ์คดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีคำพิพากษาสั่งจำคุกอดีตผู้ว่าการรถไฟฯ และพรรคพวก กรณีมีการแก้ไขเอกสารประกวดราคาเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนจนเป็นเหตุให้รัฐเสียหาย
ชะตากรรมของฝ่ายบริหาร รฟม.และคณะกรรมการตามมาตรา 36 ก็จ่อจะเจริญรอยตามโครงการดังกล่าว เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกมีการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกแตกต่างไปจากเอกสารประกวดราคา (RFP) เดิมที่ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาไปหมดสิ้นแล้ว เป็นการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์คัดเลือกที่ล้วนแต่ “ย้อนแย้ง” กับข้ออ้าง “ยกเมฆ” ที่ รฟม. กล่าวอ้าง ต้องการได้ผู้รับเหมาที่มีศักยภาพมาร่วมลงทุนในโครงการนี้
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่วันวาน ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT จะออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลควานหาผู้รับผิดชอบที่ทำให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มต้องล่าช้าออกไป ยังผลให้ประเทศชาติเสียหายประชาชนต้องเสียโอกาสในการใช้บริการ และฉุดเครดิตของประเทศจนปี้ป่น จนล่าสุดองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติปรับลดอันดับดัชนีคอร์รัปชันของไทยไหลรูดไม่เป็นท่าไปอยู่ในลำดับที่ 104 ของโลกไปแล้ว
เพราะเรื่องอื้อฉาวขนาดนี้ ก็ไม่รู้เหตุใด “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ป่าวประกาศปาวๆๆ ให้ทุกหน่วยงานลงไปสแกนต้นตอที่ทำให้ดัชนีคอร์รัปชันไทยไหลรูดไม่เป็นท่าอยู่นั้น กลับไม่คิดจะล้วงลูกลงไปดูต้นตอที่ทำให้การประมูลโครงการนี้ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกักอยู่แล้ว กลับปล่อยให้หน่วยงาน “เล่นเอาเถิด” ลากโครงการไปไหนต่อไหนประจานความไม่เอาถ่านของนโยบายปราบคอร์รัปชั่นของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล!