เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายอาคม อุปแก้ว รองประธานเครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ (ส.ท.ช.)ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)และประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนและตรวจสอบพฤติกรรมการปฏิบัติหน้าที่ของ นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.โดยระบุว่า
จากการตรวจสอบเส้นทางการทำงานและบริหารงานรักษาการกรรมการผู้อำนวยการ ทอท. พบว่า มีพฤติกรรมการบริหารไม่โปร่งใส ส่อไปในทางทุจริตหลายประการด้วยกัน โดยเชื่อว่า มีกลุ่มผลประโยชน์และทุนการเมืองร่วมกันวางแผนเพื่อส่งไม้ต่อให้กับนางสาวปวีณาที่จะก้าวขึ้นมาป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติการทำงานของ นางสาวปวีณา ในอดีตพบว่า เต็มไปด้วยข้อครหา ทั้งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองท้องถิ่น และระดับผู้พิพากษาหัวหน้าศาล และใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ว่าเป็นบันไดไต่เต้าให้ได้มาซึ่งตำแหน่งหน้าที่การงาน จนสามารถกระโดดข้ามห้วยเข้ามาเป็นผู้บริหารในบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)ในตำแหน่งผู้อำนวยการด้านพัฒนาธุรกิจ ทอท.เมื่อปี 2562 ทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติหรือประสบการณ์ที่เหมาะสมมาก่อน โดยมีรายงานว่า ผู้ที่ผลักดันนางสาวปวีณา กระโดดข้ามห้วยเข้ามาทอท.นั้นก็คือ นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ อดีตผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาที่ก็ข้ามห้วยเข้ามาเป็นผู้บริหารระดับสูงในตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.อีกคนผ่านนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในขณะนั้น ก่อนที่นายกีรติจะก้าวขึ้นไปเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.ในเวลาต่อมา
และเมื่อนายกีรติ เข้ามาเป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ทอท.ก็ได้แต่งตั้งนางสาวปวีณาขึ้นมาเป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและก่อสร้าง ซึ่งเป็นสายงานหลักที่จะรับไม้ต่อ
หากกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ซึ่งเมื่อนายกีรติ ต้องลาออกจากตำแหน่งเพราะแรงกดดันทางการเมือง และเพื่อหลีกหนีข้อครหาต่างๆ นางสาวปวีณาก็ได้ขึ้นทำหน้าที่เป็นรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.ตามแผน และเป็นแคนดิเดท ว่าที่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. คนใหม่ต่อจากนายกีรติ
ขณะที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ทอท. ที่เป็นคนอนุมัติให้รับนางสาวปวีณาเข้ามาเป็นพนักงานผู้บริหารทอท. ปัจจุบัน เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่กลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ผู้รับสัมปทานดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยาน ทอท.ทั้งหมดและกำลังเดินเกมเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาทกับทอท.จนก่อให้เกิดข้อครหาผลประโยชน์ต่างตอบแทนอยู่ในเวลานี้
ในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่ของนางสาวปวีณา พบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) มีธุรกิจส่วนตัวเป็นเจ้าของและกรรมการบริษัท คอนเน็ก ฟาบริเคชั่น จำกัด ประกอบการธุรกิจขายส่งวัสดุก่อสร้าง และบริษัท ฐิติพงศ์รีเทล จำกัด ประกอบการธุรกิจที่ปรึกษาที่เข้ารับงานหน่วยงานของรัฐต่างๆ แม้ภายหลังจะเข้ามาเป็นผู้บริหารระดับสูงใน ทอท. แล้วก็ยังคงเป็นกรรมการผู้บริหารของบริษัทเหล่านี้อยู่ ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว ที่อาจมีต่องานจัดซื้อจัดจ้างของทอท.
ส่วนการบริหารงานของนางสาวปวีณาที่ส่อไปในทางทุจริต ไม่โปร่งใส เท่าที่เครือข่ายสื่อมวลชนฯ ตรวจสอบพบว่า มีผู้ร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน รวมทั้งป.ป.ช.ด้วย อาทิ โครงการจัดซื้ออะไหล่สายพานลำเลียงในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มูลค่าราว 380 ล้านบาทด้วยวิธีพิเศษ ทั้งที่อุปกรณ์ดังกล่าวมีผู้ผลิตหลายราย และไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน สามารถดำเนินการเปิดประมูลจัดหาตามวิธีงบประมาณปกติ แต่นางสาวปวีณาที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการกลับดำเนินการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษกับบริษัทผู้รับเหมารายหนึ่งจนทำให้ผู้ผลิตหลายรายอื่นๆ ร้องเรียนถึงความไม่โปร่งใสของทอท. ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์บรรษัทภิบาลของทอท. อย่างรุนแรง
นอกจากนี้ ยังมีโครงการจ้างบริษัทที่ปรึกษาออกแบบขยายท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 วงเงิน 623 ล้านบาท จากวงเงินลงทุนทั้งโครงการกว่า 34,188 ล้านบาทนั้น ก็มีรายงานว่า นางสาวปวีณาในฐานะรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและก่อสร้างที่เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงได้สั่งให้คณะทำงานจัดทำะกำหนดเงื่อนไขประมูล (TOR ) เพื่อล็อกสเปคให้แก่บริษัทที่ปรึกษาออกแบบรายเดียวให้ได้รับการพิจารณาคัดเลือก คือบริษัท AEC และมีการเร่งรัดทำสัญญาจ้างจนผิดสังเกตุ จนทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่โปร่งใสในการดำเนินการ (มีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนกรณีดังกล่าวต่อสำนักงาน ปปช.แล้วเช่นกัน)
จากเส้นทางการไต่เต้าของนางสาวปวีณา และพฤกรรมการบริหารงานที่มีความไม่โปร่งใสในหลายๆกรณี ทางเครือข่ายสื่อมวลชนฯที่คอยเป็นหูเป็นตาให้แก่สำนักงานคณะกรรมการป.ป.ช.และเคยหอบเอกสารหลักฐานยื่นเรื่องร้องเรียนพ๖กรรมการบริหารของอดีตผู้บริหาร ทอท.ก่อนหน้านี้(นายกีรติ กิจมานะวัฒน์)ด้วย จึงเห็นว่า หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปโดยไม่ทำอะไรเลย ก็อาจทำให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ทอท.เสียหายกลายเป็นแหล่งตักตวงและแลกผลประโยชน์ต่างตอบแทนเอาได้จึงได้ตัดสินใจยื่นเรื่องขอให้คณะกรรมการป.ป.ช.และประธานผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการตรวจสอบและสอลสวนผู้ที่กำลังถูกร้องเรียนในเวลานี้ หากพบกรณีกระทำผิดก็ควรเร่งชี้มูลความผิด และดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป.