เครือข่ายสื่อต่อต้านการทุจริตแห่งชาติร้อง ป.ป.ช. พลิกแฟ้มสอบบิ๊กทอท.”กีรติ กิจมานะวัฒน์” ขุดผลงานอื้อฉาวทั้งในอดีตมาจนปัจจุบัน ทั้งดอดพาบิ๊กรฟม.ทัวร์นอกขณะเป็นคู่สัญญารัฐ ก่อนรื้อประมูลสายสีส้มจนยุ่งขิง ขณะนั่ง AOT ยังก่อเรื่องลดสเปคก่อสร้างรันเวย์3- ตั้งผู้บริหารมีประวัติส่อขัดจริยธรรมอีก
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 นายอาคม อุปแก้ว รองประธานเครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติ(ส.ท.ช.) พร้อมเครือข่ายได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อติดตามความคืบหน้าข้อร้องเรียนต่อพฤติกรรมการทุจริตและประพฤติมิชอบของนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน)หรือ ทอท.และในฐานะผู้บริหารบริษัทพีเอสเค คอนซัลแทนส์ (PSK) บริษัทที่ปรึกษาในอดีต
โดยระบุว่า ทางเครือข่ายฯ ได้รับข้อมูลพฤติกรรมการส่อทุจริตของนายกีรติทั้งในอดีตขณะที่ป็นผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาคือ บริษัทพีเอสเค คอนซัลแทนส์ (PSK) และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ทอท.ในปัจจุบัน โดยทราบว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ยื่นร้องเรียน ป.ป.ช.แล้วหลายเรื่อง แต่ยังไม่มีรายงานความคืบหน้า จึงต้องการให้ ป.ป.ช. เร่งรัดการตรวจสอบเรื่องต่างๆให้เกิดความกระจ่าง หากนายกีรติฯ กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ก็ขอให้เร่งชี้มูลความผิด และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
โดยเรื่องที่มีผู้ร้องเรียนพฤติกรรมในอดีตของนายกีรติต่อคณะกรรมการป.ป.ช.ขณะเป็นผู้บริหารบริษัทที่ปรึกษาที่รับงานในหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจหลายหน่วยงานนั้น ประกอบด้วย
1.กรณีแอบพาอดีตผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) (นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ และภรรยา)ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 11-16 เมษายน 2562 โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของ รฟม. เหตุเกิดขณะที่นายกีรติฯขณะเป็นผู้บริหารของบริษัท พีเอสเค คอนซัลแทนส์ บริษัทที่ปรึกษาที่เป็นคู่สัญญาของรฟม. จนปรากฏเป็นข่าวครึกโครม หลังมีผู้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการรฟม.และมีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงสื่อใหญ่โต
รวมทั้งยังมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการป.ป.ช.เนื่องจากเข้าข่ายการรับผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินจากคู่สัญญาหน่วยงานรัฐคิดเป็นมูลค่าหลายแสนบาท แต่จนถึงปัจจุบันเรื่องดังกล่าวยังไม่มีความคืบหน้าใยการดำเนินการไต่สวนจาก ป.ป.ช.แต่อย่างใด
2.กรณีความเสียหายการดำเนินโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม(บัตรแมงมุม) โดยนายกีรติฯ ขณะเป็นผู้บริหารของบริษัท พีเอสเค คอนซัลแทนส์ และเป็นบริษัทที่ปรึกษาคู่สัญญาของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ในโครงการศึกษาพัฒนาระบบตั๋วร่วม จากปี 2555-2564 ใช้งบประมาณ 3 โครงการรวม 674 ล้านบาท (1. โครงการศึกษาวางแนวทางการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมราว 301 ล้านบาท 2. โครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางราว 337 ล้านบาท และ 3. โครงการจัดทำแผนการกำกับบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมราว 34 ล้านบาท) โดยได้มีการทดสอบระบบอุปกรณ์ (บัตรแมงมุม) แล้ว แต่กลับไม่ได้มีการดำเนินการนำมาใช้แต่อย่างใด
โดยจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายกีรติฯ ได้สมคบกับเจ้าหน้าที่รัฐเสนอให้สนข. โอนโครงการไปให้รฟม.ดำเนินการแทนก่อนที่ในเวลาต่อมาบริษัทที่ปรึกษากลับทำความเห็นแย้งมายังกระทรวงคมนาคมและ สนข.ว่าระบบบัตรแมงมุมที่สนข.ลงทุนไปแล้วไม่เหมาะสม ไม่สามารถนำไปใช้งานร่วมกับระบบรถไฟฟ้าของ รฟม.ได้(ทั้งที่ตนเป็นผู้ทำการศึกษาและจัดทำ)จึงทำให้โครงการดังกล่าวถูกเก็บงำเอาไว้กระทั่งปัจจุบัน
ต่อมาในปี 2564 เมื่อกระทรวงคมนาคมต้องการเร่งรัดโครงการจัดทำระบบตั๋วร่วมให้เกิดเป็นรูปธรรม ทางรฟม. ได้มอบหมายให้ธนาคารกรุงไทยเข้ามาออกแบบติดตั้งระบบ Europay, Mastercard & Visa (EMV)ที่ยังคงใช้งานมาจนปัจจุบัน ทำให้ระบบอุปกรณ์ การศึกษาและแผนงานระบบตั๋วร่วม(บัตรแมงมุม) ที่ สนข.ได้เริ่มงานตั้งแต่ปี 2555 และลงทุนไปแล้วเกือบ 700 ล้านบาทสูญเปล่าไม่ถูกนำมาใช้งานสร้างความเสียหายต่อรัฐ โดยมีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวจากผู้บริหารของ รฟม.ไปยัง ป.ป.ช.ก่อนหน้านี้แต่เรื่องกลับเงียบไป
ขณะเดียวกันเครือข่ายสื่อมวลชนต่อต้านทุจริตแห่งชาติยังได้รับข้อมูลเพิ่มเติมถึงพฤติกรรมการทุจริต ของนายกีรติในเรื่องอื่นๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ดังนี้
1. การปรับเปลี่ยนสเปคก่อสร้างทางวิ่ง(รันเวย์)เส้นทาง 3 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.)ที่เพิ่งเปิดให้บริการล่าสุด โดยนายกีรติฯขณะดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและก่อสร้าง ทอท.ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้สั่งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสเปคก่อสร้างให้ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ในสัญญาและเงื่อนไขประมูล ทำให้ต้นทุนก่อสร้างถูกลงกว่าเดิมไปนับ 1,000 ล้านบาท
การแก้ไขสเปคก่อสร้างรันเวย์ข้างต้นทำให้มีความเสี่ยงในระดับคุณภาพ ส่งผลต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่น ตลอดจนมีผลต่อการจัดอันดับสนามบินที่ดีของประเทศไทยโดยตรง
2.กรณีอุบัติเหตุของผู้โดยสารถูกทางเลื่อนภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานดอนเมืองหนีบขาขาดได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 โดยทอท.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ และได้ดำเนินการเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายไปแล้วในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม มีการวิพากษ์กันอย่างกว้างขวางภายในทอท.ว่า ส่วนหนึ่งของสาเหตุที่เกิดขึ้น มาจากบริษัทเอกชนที่ทำหน้าที่ซ่อมบำรุงถูกผู้บริหารทอท.เรียกรับผลผประโยชน์ก้อนโต จนต้องหาทางลดต้นทุนการบำรุงรักษาและยืดเวลาการใช้งาน จนเกิดเหตุสลดขึ้น ขณะเดียวกันยังมีรายงานด้วยว่า ผู้เสียหายในกรณีนี้ได้ยื่นฟ้อง ทอท.ร่วม 100 ล้านบาทขณะนี้คดียังไม่ยุติ
3.การแต่งตั้งบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นผู้บริหาร AOT ที่ขัดจริยธรรม โดย 1 ในผู้บริหารที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและก่อสร้าง)ที่จะรับไม้ต่อจากนายกีรติ คือนางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ จากผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด) ท่ามกลางกระแสวิพากษ์อย่างกว้างขวางภายในทอท.ว่าไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสม ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์การทำงาน แต่อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว ย้อนแย้งกับหลักธรรมาภิบาลและจริยธรรมของ AOT ที่้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้จากการตรวจสอบภูมิหลังผู้บริหารรายดังกล่าวพบด้วยว่าเคยมีเรื่องอื้อฉาวกับนักการเมืองท้องถิ่นในระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ก่อนจะใช้เส้นสายผันตัวเองเข้ามาช่วยงานภายใน ทอท.ก่อนและได้รับการบรรจุให้เข้ามาเป็นผู้บริหารระดับกลาง(ระดับผู้อำนวยการฝ่าย)ในทอท.ก่อนได้รับการโปรโมทให้ขึ้นมาป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ภายในระยะ 6 เดือน และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายงานวิศวกรรมฯในที่สุด
4.กรณีทุจริตการจัดซื้อสติ๊กเกอร์ซีทรูเฉลิมพระเกียรติฯ สนามบินภูเก็ต ซึ่งถูกสังคมร้องเรียนให้ตรวจสอบกันอย่างหนาหูเนื่องจนกผลาญงบประมาณดำเนินการไปอย่างมหาศาล แม้นายกีรติ จะมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อนจะพบว่า มีมูลความผิดตามข้อกล่าวหา จึงได้ชี้มูลความผิดพนักงานระดับบริหารที่เข้าข่ายกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจำนวน 4 คน
ก่อนที่จะมีการตรวจสอบข้อมูลการลงโทษพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีอื้อฉาวในภายหลังพบว่าทั้ง 4 คน แค่ถูกย้ายไปปฏิบัติงานที่สำนักงานใหญ่ทอท.เท่านั้น และเมื่อมีการตรวจสอบในเชิงลึกทำให้ได้ทราบว่า เหตุที่มีการลงโทษพนักงานสถานเบาข้างต้น เพราะโครงการดังกล่าว นายกีรติฯ เป็นผู้อนุมัติงานจ้างพิมพ์สติ๊กเกอร์ซีทรูนี้เอง กรณีจึงอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ด้วยเพราะตนมีส่วนได้เสีย ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีรายงานว่าสำนักงานป.ป.ช.เองอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการไต่สวนอยู่เช่นกัน
5.กรณีการฮั้วประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
นายกีรติฯ (ขณะเป็นผู้บริหารของบริษัท พีเอสเค คอนซัลแทนส์) เป็นบริษัทที่ปรึกษาการประมูลสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (งานเดินรถตลอดสาย และงานก่อสร้างฝั่งตะวันตก) และเป็นหนึ่งในตัวละครหลักที่สร้างกลไกบิดเบือนการประมูลอย่างพิสดาร เต็มไปด้วยความอื้อฉาว ข้อครหา การฟ้องร้อง คดีความ สร้างความเสียหายต่อภาครัฐทั้งด้านความล่าช้าถึง 4 ปี เวลาและค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่แพงกว่า 68,000 ล้านบาท โดยมีกรณีร้องเรียนเรื่องดังกล่าวมายังป.ป.ช.ก่อนหน้านี้
ถึงแม้ในส่วนของคดีความฟ้องร้องในชั้นศาล ในที่สุด ศาลปกครองสูงสดจะมีคำวินิจฉัยว่ารฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกไม่ผิดตามฟ้อง เพราะเป็นคำวินิจฉัยด้านเทคนิคเชิงกฎหมาย จนทำให้รฟม.และกระทรวงคมนาคมสามารถผลักดันโครงการดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม และ รฟม. เซ็นสัญญาสัมปทานไปเมื่อ 17 กรกฎาคม 2567) แต่กรณีจริยธรรมความโปร่งใส ข้อกล่าวหาและข้อครหาการฮั้วประมูล รวมทั้งปมส่วนต่างราคากว่า 68,000 ล้านบาทที่เป็นข้อเท็จจริงยังคงเป็นประเด็นที่สังคมยังคงจะขุดคุ้ยหาความกระจ่างกันต่อไป
“ที่ผ่านมาหลายต่อหลายกรณีที่ภาคประชาชนได้ทำหน้าที่ตรวจสอบพฤติกรรมการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐตามเจตนารมย์ที่คณะกรรมการป.ป.ช.เรียกร้อง แต่เมื่อดำเนินการไปแล้วกลับพบว่าหลายต่อหลายเรื่องเวียบหายเข้ากลีบเมฆ หรือถูกมองว่าเป็นเรื่องกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือกลั่นแกล้งตัวบุคคลให้ได้รับความเสียหาย บางกรณีกว่าจะมีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาไต่สวนก็เลยเวลา จนผู้บริหารเหล่านั้นพ้นตำแหน่ง ครบวาระไปแล้วหลายปี จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลและข้อร้องเรียนข้างต้นจะไม่หายเข้ากลีบเมฆหรือถูกอิทธิพลทางการเมืองใด ๆ แทรกแซงให้ล่าช้าอีก”