https://linevoom.line.me/post/_dRwLP9ryDNNCNElq786ZFgDnUlb3FkZ4wdgFcto/1175297393178581398?
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://linevoom.line.me/post/_dRwLP9ryDNNCNElq786ZFgDnUlb3FkZ4wdgFcto/1175297393178581398?
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=10410
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=10409
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=10409
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR สานต่อพันธกิจเพื่อสังคม เดินหน้าเชื่อมโยงการรับซื้อมังคุดใต้ ต่อยอดโอกาสการสร้างรายได้สู่ชุมชนผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สอดรับนโยบายภาครัฐฯ ที่มุ่งแก้ไขปัญหาผลไม้ล้นตลาดและสร้างช่องทางจำหน่ายให้เกษตรกรไทย
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่พบปะเกษตรกร เชื่อมโยงซื้อขายมังคุดจากเกษตรกรสู่ช่องทางการตลาดใหม่ ๆ เพื่อกระจายผลผลิตไปสู่ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมี นายณัฐวัฒน์ รัฐวิวรรธน์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารสถานีบริการส่วนภูมิภาค OR ร่วมลงพื้นที่ ณ กลุ่มมังคุดบ้านนากุน หมู่ที่ 6 ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ในการนี้ OR ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรสำคัญในการรับซื้อผลผลิตมังคุดจากเกษตรกรโดยตรง และกระจายผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ต่อยอดจากโครงการช่วยเหลือผลไม้ภาคตะวันออกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ภารกิจนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ผลผลิตมังคุดที่กำลังทยอยออกสู่ตลาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาและรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่ โดยกรมการค้าภายในได้บูรณาการความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเร่งกระจายผลผลิตไปยังตลาดต่าง ๆ รวมถึง สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่จะร่วมเป็นพื้นที่ปันสุขกระจายผลผลิตให้แก่ผู้ใช้บริการต่อไป
OR ยังคงดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” (Empowering All toward Inclusive Growth) พร้อมให้ความสำคัญกับเกษตรกรไทยมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมุ่งมั่นให้ทุกสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น เป็นมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน แต่ยังเป็นพื้นที่เติมเต็มโอกาสให้กับชุมชน โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา OR ได้สนับสนุนเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ผ่านหลากหลายโครงการใน พีทีที สเตชั่น ที่พร้อมเป็นพื้นที่เติมเต็มความสุข ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท อาทิ โครงการพื้นที่ปันสุขในสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศ เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรโดยตรงจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค หรือการรับซื้อผลไม้จากเกษตรกรที่ประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาดแล้วนำมามอบให้ลูกค้าที่ใช้บริการเติมน้ำมันที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร พร้อมสร้างวงจรเศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็งขึ้นอย่างยั่งยืน
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR สานต่อพันธกิจเพื่อสังคม เดินหน้าเชื่อมโยงการรับซื้อมังคุดใต้ ต่อยอดโอกาสการสร้างรายได้สู่ชุมชนผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สอดรับนโยบายภาครัฐฯ ที่มุ่งแก้ไขปัญหาผลไม้ล้นตลาดและสร้างช่องทางจำหน่ายให้เกษตรกรไทย
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่พบปะเกษตรกร เชื่อมโยงซื้อขายมังคุดจากเกษตรกรสู่ช่องทางการตลาดใหม่ ๆ เพื่อกระจายผลผลิตไปสู่ห้างค้าส่ง-ค้าปลีก และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมี นายณัฐวัฒน์ รัฐวิวรรธน์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารสถานีบริการส่วนภูมิภาค OR ร่วมลงพื้นที่ ณ กลุ่มมังคุดบ้านนากุน หมู่ที่ 6 ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ในการนี้ OR ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรสำคัญในการรับซื้อผลผลิตมังคุดจากเกษตรกรโดยตรง และกระจายผ่านสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ต่อยอดจากโครงการช่วยเหลือผลไม้ภาคตะวันออกเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ภารกิจนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ผลผลิตมังคุดที่กำลังทยอยออกสู่ตลาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาและรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่ โดยกรมการค้าภายในได้บูรณาการความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเร่งกระจายผลผลิตไปยังตลาดต่าง ๆ รวมถึง สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่จะร่วมเป็นพื้นที่ปันสุขกระจายผลผลิตให้แก่ผู้ใช้บริการต่อไป
OR ยังคงดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” (Empowering All toward Inclusive Growth) พร้อมให้ความสำคัญกับเกษตรกรไทยมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมุ่งมั่นให้ทุกสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น เป็นมากกว่าสถานีบริการน้ำมัน แต่ยังเป็นพื้นที่เติมเต็มโอกาสให้กับชุมชน โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา OR ได้สนับสนุนเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ผ่านหลากหลายโครงการใน พีทีที สเตชั่น ที่พร้อมเป็นพื้นที่เติมเต็มความสุข ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยไปแล้วกว่า 30 ล้านบาท อาทิ โครงการพื้นที่ปันสุขในสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทั่วประเทศ เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรโดยตรงจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค หรือการรับซื้อผลไม้จากเกษตรกรที่ประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาดแล้วนำมามอบให้ลูกค้าที่ใช้บริการเติมน้ำมันที่สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร พร้อมสร้างวงจรเศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็งขึ้นอย่างยั่งยืน
https://www.natethip.com/news.php?id=10408
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
พิมพ์ไทยออนไลน์//นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นำทัพผู้ประกอบการไทยเดินทางทดสอบและเปิดตลาดที่ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้กิจกรรมยกระดับผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงสู่ตลาดโลก พร้อมด้วย นายดุสิต อนันตรักษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายพรธวัช เพ่งศรี อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายอุตสาหกกรรม) และนายกิตติพันธุ์ บางยี่ขัน อดีตอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายอุตสาหกกรรม) ณ ศูนย์นิทรรศการโตเกียว บิ๊กไซด์ ประเทศญี่ปุ่น
งาน “JAPAN JFEX–FOOD & BEVERAGE EXPO 2025” เป็นเวทีแสดงสินค้าอาหารระดับโลก ที่รวบรวมเทรนด์นวัตกรรมการผลิตบรรจุภัณฑ์ การแปรรูป และเทคโนโลยีอาหารเพื่อสุขภาพจากทั่วโลก กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการโตเกียว บิ๊กไซต์ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการเปิดประสบการณ์ตรงให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจให้สอดรับกับความต้องการของตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น
ดีพร้อม โดย กองพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม (กอ.กสอ.) มีการจัดกิจกรรมยกระดับผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงสู่ตลาดโลก ซึ่งมีการฝึกอบรมให้ความรู้กับผู้ประกอบการ ทั้งในด้านการบริหารธุรกิจ การเจรจาการค้า และการเตรียมความพร้อมในการส่งออกสินค้าไปตลาดต่างประเทศ พร้อมทั้งการพาผู้ประกอบการจำนวน 10 กิจการ เข้าร่วมออกงานแสดงสินค้าในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสในการโตไกล ขยายช่องทางการตลาด เจรจาจับคู่ธุรกิจ และสร้างเครือข่ายพันธมิตรต่างประเทศ ตามแนวทาง 4 ให้ 1 ปฏิรูป ภายใต่นโยบาย “ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้” ของ นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รวมทั้งยังเป็นการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สินค้าไทยสู่สายตาชาวโลก มุ่งหวังผลักดันปลุกกระแสซอฟต์พาวเวอร์อาหาร และเครื่องดื่มไทย ให้เติบโตก้าวขึ้นสู่เวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน สอดรับตามนโยบายของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม:Cr;มณสิการ รามจันทร์
https://www.natethip.com/news.php?id=10407
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://www.natethip.com/news.php?id=10405
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
คนรถไฟสุดเซ็ง จ้างเอกชนห้องแถวพัฒนาระบบการเงินและบัญชีร่วม 4 ปี หมดเงินไป301 ล้านบาท สุดท้ายส่อเหลวยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้จริง ทำระบบจัดซื้อจัดจ้างภายในรถไฟปั่นป่วน โดยแหล่งข่าวในการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) แฉเรื่องสุดฉาวในการรถไฟฯว่า อ้าง การรถไฟฯได้จ้างเอกชนดำเนินโครงการพัฒนาระบบการเงินและบัญชี Financial Management Information System : FMIS วงเงินกว่า 300 ล้าน บาท หวังเข้าสู่ยุคไฮเทคตามหน่วยงานอื่น โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 4ปี ตั้งแต่ 25 กันยายน2563-24กันยายน 2567
โดยระบบดังกล่าว การรถไฟได้ติดตั้งใช้งานกับระบบการเงินและบัญชีของหลายหน่วยงานภายในรถไฟ อาทิ ระบบงบประมาณ ระบบงานด้านรายจ่ายและเงินยืมทดลอง ระบบรายได้สำหรับสถานีนำร่อง 12 แห่ง ระบบคลังพัสดุ ระบบบัญชีลูกหนี้และเจ้าหนี้ ระบบบัญชีทรัพย์สินถาวร และระบบบัญชีแยกประเภททั่วไป ตลอดจนการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่นๆ ภายในการรถไฟ
อย่างไรก็ตาม ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาสัญญาจ้าง บริษัทเอกชนผู้พัฒนาระบบได้จัดประชุมร่วมกับคณะกรรมการกำกับดูแล PMO เพื่อแจ้งถึงกำหนดระยะเวลาสัญญาจ้างและจัดประชุมเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆที่จะเป็นผู้ใช้งาน รวมถึงกำหนดการใช้งานจริง แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับปรากฏว่าได้เกิดปัญหาขึ้นหลายกรณี
เมื่อถึงกำหนดการใช้จริงกลับปรากฏว่า ระบบมีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้จริง เป็นเหตุทำให้งบประมาณตกเบิกได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า จึงทำให้การรถไฟฯ ยังคงไม่ดำเนินการตรวจรับงาน และเบิกจ่ายให้ผู้ประกอบการ และเปิดใช้งานจริง และได้เรียกผู้รับจ้างพัฒนาระบบเข้าประชุมชี้แจงแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
โดยบริษัทอ้างว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินการตามสัญญาครบถ้วนแล้ว แต่การรถไฟยังไม่ได้มีการตรวจรับงาน ทำให้บริษัทเงินไม่สามารถจะแบกรับปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากผู้ปฏิบัติงานรถไฟเองยังไม่เข้าใจระบบ เพราะประสิทธิภาพของระบบขึ้นอยู่กับการสั่งการต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และผู้บันทึกข้อมูล บริษัทเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือสนับสนุนการใช้งานเท่านั้น พร้อมกับแจ้งว่าปัญหาที่เกิด เกิดจากการรถไฟฯเองไม่ได้ดำเนินการเช่าระบบคอมพิวเตอร์เพื่อดำเนินการติดตั้งให้กับสถานีต่างๆทั่วประเทศ รวมทั้งยังไม่มีการต่ออายุสิทธิ์ Oracle สำหรับการใช้งานระบบ FMIS ที่หมดอายุ จึงทำให้ไม่สามารถ Run งานได้เต็มประสิทธิภาพ
ล่าสุดทางบริษัทเอกชนผู้พัฒนาระบบยังมีหนังสือแจ้งไปยังรถไฟจะดำเนินการช่วยเหลือและสนับสนุนการดูแลระบบ FMIS ไปจนถึง 30 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาเท่านั้น จนกว่าการรถไฟฯจะได้ข้อยุติเรื่องการขยายเวลาและงดเว้นค่าปรับ รวมทั้งดำเนินการตรวจรับงานตามกำหนด เพื่อนำระบบดังกล่าวส่งออกใช้งานจริง หลังจากนั้นจนถึงขณะนี้ผ่านมากว่า 6 เดือนเข้าไปแล้ว ระบบFMIS ของรถไฟยังคงมีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้จริงทำให้การเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆเกิดความสับสน ต้องใช้ระบบเดิมควบคู่และมีปัญหาในการจัดซื้อจ้างจ้าง การบริหารระบบคลังพัสดุ บัญญชีการเงิน และรายรับรายจ่ายโดยที่ยังไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบได้ เจ้าหน้าที่ทุกๆฝ่ายบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่อยากได้เอกชนรายนี้มาทำงานแต่ทัดทานเส้นสายผู้ใหญ่ระดับสูงในรถไฟไม่ไหว
เป็นที่กล่าวขานว่าโครงการนี้มีการตั้งงบประมาณสูงเวอร์ เมื่อเทียบกับผลงานที่ออกมา เพราะระดับราคาค่างวดการจ้างทำระบบบัญชีสูง 301 ล้านบาท ซึ่งในอดีตการรถไฟฯเคยจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการบัญชีระดับบิ๊กโฟว์ เช่น PWC, EY, Deloitte KPMG มาทำ แต่คราวนี้กลับไปจ้างบริษัทไอทีห้องแถวมาทำที่มีคนทำงานเพียงไม่กี่คนแถมยังมาใช้คนในรถไฟทำงานให้อีกต่างหาก สรุปงานใครกันแน่ชักเริ่มน่าสงสัย เหตุเพราะบริษัทบิ๊กโฟว์เค้าไม่สามารถทำถุงขนมตกในหน่วยงานได้ เพราะเค้ามีระบบ compliance ในบริษัทเค้าจึงเป็นเหตุไม่ได้รับงาน
นอกจากนี้ยังมีการลักไก่แอบให้บริษัทเอกชนไอทีใช้สถานที่การรถไฟ มีออฟฟิศส่วนตัวห้องทำงานใช้น้ำใช้ไฟของหลวงโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆให้กับหน่วยงาน ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขสัญญาว่าสามารถใช้สถานที่ของการรถไฟได้ฟรีๆ มิทราบว่าเหตุใดการรถไฟฯถึงหลับหูหลับตาปล่อยปะละเลยเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนรายนี้ได้ถึงเพียงนี้ ตามลำพังแค่เสียบปลั๊กชารจ์มือถือส่วนตัวใช้ไฟหลวงก็ผิดแล้ว นี้ถึงขนาดมีออฟฟิศส่วนตัวตั้งอยู่ในหน่วยงานหากไม่เส้นใหญ่จริงๆ คงทำกันเช่นนี้ไม่ได้ ว่ากันว่างานนี้มีถุงขนมหนักหลายสิบกิโลตกอยู่ระหว่างทางในการรถไฟฯหรือไม่ คงต้องฝากไปยังหน่วยงานตรวจสอบ ทั้งป.ป.ช.และสตง.เข้ามาตรวจสอบถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการนี้และบริษัทเอกชนขาใหญ่ไอทีรายดังกล่าวด้วย.