https://timeline.line.me/post/_dRwLP9ryDNNCNElq786ZFgDnUlb3FkZ4wdgFcto/1161723652810056390
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
https://timeline.line.me/post/_dRwLP9ryDNNCNElq786ZFgDnUlb3FkZ4wdgFcto/1161723652810056390
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
พิมพ์ไทยออนไลน์//ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยเป็นการดำเนินโครงการต่อเนื่องจากปี 2563 เพื่อให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ได้มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ และภัยจากศัตรูพืช หรือโรคระบาด ซึ่งในปีนี้ได้กำหนดเป้าหมายสูงสุด 46 ล้านไร่ และภาครัฐให้การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย จำนวนเงินทั้งสิ้น 2,936 ล้านบาท โดยมติครม. ดังกล่าว ได้มอบหมายให้สำนักงาน คปภ. ปรับปรุงอัตราเบี้ยประกันภัย รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จ และสามารถเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2564 ได้ทันที ภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2564 และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2564 ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้เตรียมความพร้อมและเดินหน้าสานต่อโครงการฯ ปีการผลิต 2564 ตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว โดยปีนี้กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีมีรูปแบบเหมือนกับกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 แต่มีการปรับลดเบี้ยประกันภัยลง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกรชาวนา ในสถานการณ์โควิด-19 โดยเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 ตนในฐานะนายทะเบียนได้ลงนามให้ความเห็นชอบแบบ ข้อความ และอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำนวน 4 แบบกรมธรรม์ ดังนี้
แบบที่ 1 กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เพื่อกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
แบบที่ 2 กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 เพื่อกลุ่มเกษตรกรพื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ
แบบที่ 3 กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์)
แบบที่ 4 กรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ส่วนเพิ่ม
กรมธรรม์ประกันภัยทั้ง 4 แบบ ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัย 2 หมวด ดังนี้
หมวดที่ 1 ภัยน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยจากช้างป่า โดยแยกความคุ้มครองเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ความคุ้มครองพื้นฐาน อยู่ที่ 1,260 บาทต่อไร่ และส่วนที่ 2 ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม อยู่ที่ 240 บาทต่อไร่
หมวดที่ 2 ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด โดยแยกความคุ้มครองเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ความคุ้มครองพื้นฐาน อยู่ที่ 630 บาทต่อไร่ ส่วนที่ 2 ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม อยู่ที่ 120 บาทต่อไร่
โดยภัยดังกล่าวผู้ว่าราชการจังหวัดต้องมีการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น เกษตรกรที่ทำประกันภัยโดยเลือกซื้อความคุ้มครองทั้งส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ในคราวเดียวกันของหมวดที่ 1 จะได้รับความคุ้มครองรวม อยู่ที่ 1,500 บาทต่อไร่ และหมวดที่ 2 จะได้รับความคุ้มครองรวม อยู่ที่ 750 บาทต่อไร่ โดยมีค่าเบี้ยประกันภัย
และสัดส่วนการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย รวมค่าอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่มของรัฐบาล ดังนี้
สำหรับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. จะจ่ายเบี้ยประกันภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในส่วนที่ 1 ความคุ้มครองพื้นฐาน 96 บาทต่อไร่ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยรัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ และ ธ.ก.ส. อุดหนุนอีก 38 บาทต่อไร่
ส่วนเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเอง และเกษตรกรทั่วไป จะจ่ายตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) ในส่วนที่ 1 ความคุ้มครองพื้นฐาน ถ้าเป็นพื้นที่สีเขียวมีความเสี่ยงภัยต่ำ จ่ายเบี้ยประกันภัย 55 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุนทั้งหมด 55 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 210 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ ส่วนที่เหลือเกษตรกรจ่ายเอง 152 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 230 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 58 บาทต่อไร่ เกษตรกรจ่ายเอง 172 บาทต่อไร่ สำหรับเบี้ยประกันภัยในส่วนที่ 2 ความคุ้มครองส่วนเพิ่ม เกษตรกรจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเองทั้งหมดตามพื้นที่ความเสี่ยงภัย ถ้าเป็นพื้นที่สีเขียวมีความเสี่ยงภัยต่ำ จ่ายเบี้ยประกันภัย 24 บาทต่อไร่ พื้นที่สีเหลืองมีความเสี่ยงภัยปานกลาง จ่ายเบี้ยประกันภัย 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่สีแดงมีความเสี่ยงภัยสูง จ่ายเบี้ยประกันภัย 101 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ทั้งนี้ มีบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ ปีการผลิต 2564 จำนวน 16 บริษัท ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันส์ จำกัด สาขาประเทศไทย บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอลเอ็มจีประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยเริ่มรับประกันภัยในปีการผลิต 2564 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ และวันสิ้นสุดการขายจะแตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ คือ วันที่ 30 เมษายน 2564 วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ยกเว้น 14 จังหวัดภาคใต้วันที่ 31 ธันวาคม 2564
เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรชาวนา เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานตามโครงการฯ ปีการผลิต 2564 สำนักงาน คปภ. จึงได้จัดทำโครงการ “อบรมความรู้ประกันภัย Training for the Trainers” สำหรับการประกันภัยข้าวนาปีต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 โดยในปีนี้จะมีการลงพื้นที่ให้ความรู้ จำนวน 5 ครั้ง ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิจิตร อุตรดิตถ์ ลำปาง อำนาจเจริญ และ ชัยภูมิ ขณะนี้ สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการฉีดวัคซีนป้องกันให้กับประชาชนบางส่วนแล้ว รวมถึงภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ตามมา สำนักงาน คปภ. จึงได้เตรียมความพร้อมเพื่อลงพื้นที่ให้ความรู้แบบคู่ขนาน โดยการบรรยายจากวิทยากร 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำหรับถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ได้ดำเนินการผลิตสื่อความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางให้เกษตรกรชาวนาสามารถเข้าถึงได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น การจัดทำสื่อความรู้และประชาสัมพันธ์ในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์ คู่มือประกอบการอบรม การจัดทำสื่อวีดิทัศน์ในรูปแบบกราฟฟิกเคลื่อนไหว (Motion graphic) การใช้บุคคล ที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเกษตรกร (influencer) ในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ การจัดทำสื่อความรู้ในรูปแบบคลิปเสียง การจัดทำข้อมูลความรู้เพื่อเผยแพร่ผ่าน Mobile Application “กูรูประกันข้าว” บนอุปกรณ์สมาร์ทโฟน รวมถึงการผลิตสื่อดิจิทัล ได้แก่ สื่อสังคมออนไลน์ Web-site YouTube โดยจะได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเผยแพร่สื่อความรู้ต่าง ๆ ผ่านช่องทางที่เข้าถึงเกษตรกรชาวนาให้มากที่สุด “สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวนาไทยให้มีความมั่นคง เนื่องจากอาชีพทำนามีความเสี่ยงสูง เพราะต้องพึ่งพิงปัจจัยทางธรรมชาติ โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 จึงจำเป็นต้องมีระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงและสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ดังนั้น จึงอยากเชิญชวนเกษตรกรชาวนาทุกคนให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยข้าวนาปี ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย:Cr;มณสิการ รามจันทร์
พิมพ์ไทยออนไลน์//ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) ร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การบูรณาการส่งเสริมความรู้และสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย ระหว่าง สำนักงาน คปภ. ภาค 2 ภาค 4 และ ภาค 7 สำนักงาน คปภ. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดชัยนาท จังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรี และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดชัยนาท จังหวัดลพบุรี และจังหวัดสระบุรี พร้อมเป็นประธานเปิดการเสวนาเรื่อง “คปภ. ห่วงใย สร้างเกราะประกันภัยให้ SMEs” ณ โรงแรมคลาสสิค คามิโอ อยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ และสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยเชิงรุกให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ หรือ SMEs ใช้เป็นข้อมูลในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของธุรกิจของตนเองหรือบุคคล ซึ่ง SMEs เป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคมของประเทศ โดยมีนายอดิศร พิพัฒน์วรพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ คปภ. สายกฎหมายและคดี
นางสาวสุภัทรา ดวงงา เจ้าของร้านชาบูอินดี้ และนายเชิดชัย อนุสนธิ์พัฒน์ เจ้าของห้างทองเยาวราชอยุธยา (1999) ร่วมเสวนา และมีนางสาวณิชชา ฉัตรไชยเดช เป็นพิธีกร ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ มีผู้ประกอบการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมงาน จำนวน 100 คน โดยได้รับเกียรติจากนายพรพจน์ บัณฑิตยานุรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้การต้อนรับและได้กล่าวขอบคุณ สำนักงาน คปภ. ที่เลือกจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่เป้าหมายในการให้ความรู้ด้านการประกันภัยและลงพื้นที่รับฟังข้อมูลจาก SMEs โดยตรง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารจัดการความเสี่ยงภัยให้ SMEs ในพื้นที่ ดังนั้น เวทีการเสวนาในครั้งนี้ จึงมีความสำคัญและมีคุณค่ายิ่ง ที่เลขาธิการฯ นำทีมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงาน คปภ. ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง พร้อมทั้ง ขอให้ SMEs เร่งนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงภัย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและเพิ่มความมั่นคงให้กับธุรกิจของตนเองยิ่งขึ้น
เลขาธิการ คปภ. กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดเสวนา ในตอนหนึ่งว่า สำนักงาน คปภ. มีความมุ่งมั่นในการให้ความรู้ด้านการประกันภัยกับ SMEs มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2564 เป็นการลงพื้นที่ครั้งแรก ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่เริ่มคลี่คลาย โดยสำนักงาน คปภ. พร้อมส่งเสริมและขับเคลื่อนให้ภาคธุรกิจประกันภัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของ SMEs ในรูปแบบของกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs Package
ซึ่งเป็นกรมธรรม์ที่รวมความคุ้มครองหลักที่ครบวงจรและหลากหลาย ซึ่งจะช่วย SMEs ลดภาระค่าใช้จ่ายในหลายมิติ อาทิเช่น การประกันอัคคีภัย ให้ความคุ้มครองแก่ทรัพย์สินเมื่อสถานประกอบการเกิดเหตุเพลิงไหม้ ภัยพิบัติ น้ำท่วม
นอกจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตัวอาคารและปรับปรุงภายในอาคารแล้ว มีการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก จะให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากกรณีที่ไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ตามระยะเวลาและรายได้ที่ขาดหายไปในระหว่างที่กำลังซ่อมแซม การประกันภัยโจรกรรม การประกันภัยสำหรับเงินภายในสถานที่เอาประกันภัย การประกันภัยสำหรับกระจก ให้ความคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินดังกล่าว การประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้ประกอบการ มีความรับผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลอื่น และการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ให้ความคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และอนามัย เนื่องจากอุบัติเหตุ เป็นต้น กรมธรรม์ดังกล่าวที่ SMEs ทำไว้จะเข้ามาบริหารจัดการความเสี่ยงในจุดนี้ทันที
นอกจากนี้ ยังมีกรมธรรม์อีกประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการในยุคปัจจุบันอย่างมาก คือ ประกันภัยไซเบอร์เชิงพาณิชย์ เป็นประกันภัยความเสี่ยงที่ธุรกิจ องค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ อาจเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายขึ้นจากการถูกโจรกรรมหรือกรรโชกทรัพย์หรือคุกคามหรือละเมิดด้านความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดในการทำประกันภัย คือ SMEs จะต้องมีความเข้าใจว่าธุรกิจของตนเองมีความเสี่ยงในเรื่องใดบ้าง เพื่อที่จะสามารถเลือกการประกันภัยที่เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยที่ธุรกิจของตนที่จะต้องเผชิญ
นอกจากนี้ นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่สำนักงาน คปภ. ภาค สำนักงาน คปภ. จังหวัด และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย หลายจังหวัด ทำ MOU เพื่อบูรณการความร่วมมือสร้างวัคซีนให้กับระบบเศรษฐกิจในระดับพื้นที่
เลขาธิการ คปภ. กล่าวอีกว่า ก่อนถึงวันจัดงานเสวนา 1 วัน ตนและคณะผู้บริหารของสำนักงาน คปภ. ได้ลงพื้นที่สำรวจ SMEs แหล่งท่องเที่ยว และเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พบว่า เริ่มมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองกรุงเก่าแบบไปเช้า-เย็นกลับ เพื่อชมโบราณสถาน ชิมของอร่อย กันคึกคักขึ้น ส่งผลทำให้ SMEs ในพื้นที่เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรม ความรุ่งเรืองของอดีตที่ยิ่งใหญ่ของเมืองและเรียงรายด้วยวัดวาอารามที่ศักดิ์สิทธิ์ ศิลปวัฒนธรรม ขนบประเพณีที่เป็นรากเหง้ามาจากกรุงเก่า
ตลอดจน ความงดงามทั้งด้านบรรยากาศและโบราณสถานที่โอบล้อมด้วยลำน้ำที่สดชื่นรอบริมฝั่ง และการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย พอเพียง จึงทำให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กลายเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวที่น่าสัมผัสเสน่ห์กลิ่นอาย ซึ่งในแต่ละปีจังหวัดได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีการประกอบธุรกิจ SMEs ในพื้นที่อย่างหลากหลาย เช่น ธุรกิจแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชน ร้านอาหาร ร้านขนมของฝาก ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก เป็นต้น การประกอบอาชีพของประชาชนมีการทำเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็น ข้าวนาปี มันสำปะหลัง อ้อย มะม่วง และทำปศุสัตว์ โดยมีสัตว์เศรษฐกิจ เช่น ไก่ สุกร โค และสัตว์น้ำจืด เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ สำนักงาน คปภ. จึงเล็งเห็นความสำคัญในการนำระบบประกันภัยเข้ามาเป็นตัวช่วยในการบริหารจัดการความเสี่ยงภัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยเหลือ SMEs เกษตรกร รวมถึงประชาชนทั่วไป บริหารความเสี่ยงภัยหากเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจ
ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการสร้างความรู้และความเข้าใจที่ดีของ SMEs ในมุมมองของการทำประกันภัย เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัยว่ามีทั้งประเภทที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำ และประเภทสมัครใจ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้เหมาะสมกับความเสี่ยง รวมถึงความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ ของกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อเป็นการยกระดับการประกอบธุรกิจให้มีความมั่นคง ยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งสำนักงาน คปภ. มีความพร้อมที่นำระบบประกันภัยมาสร้างเกราะคุ้มกันให้กับผู้ประกอบการและประชาชน
“การประกันภัยเป็นเรื่องใกล้ตัว และแทรกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบอาชีพ รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีสายป่านไม่ยาวมาก หากเลือกใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำนักงาน คปภ. มีภารกิจสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย ตลอดจนช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงระบบประกันภัยได้ ในขณะเดียวกันถ้าหากทำประกันภัยแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม สำนักงาน คปภ. ก็มีหน่วยงานคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย โดยมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ทั้งที่สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก และสำนักงาน คปภ. ภาค ( 9 ภาค)/จังหวัด (69 จังหวัดทั่วประเทศ) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามข้อมูลด้านประกันภัยเพิ่มเติม ได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย :Cr;มณสิการ รามจันทร์
http://www.natethip.com/news.php?id=3808
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
http://www.natethip.com/news.php?id=3807
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
http://www.natethip.com/news.php?id=3806
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)
พิมพ์ไทยออนไลน์ // “พลอย ขอนแก่น” นักสอยคิวหญิงดีกรีแชมป์เยาวชนโลก ออกคิวได้อย่างเฉียบคม ไล่แทงนักสนุกรุ่นพี่ขาดลอย ขณะที่ สุริยา พัทยา ยังคงไว้ลายทีมชาติไทย ชนะคู่แข่ง 3 เฟรมรวด ผ่านเข้ารอบ 96 คนสุดท้าย ได้เป็นผลสำเร็จ
การแข่งขันสนุกเกอร์ ดิวิชั่น 1 รายการที่ 1 รอบคัดเลือกที่ 2 ( 192 คน ) รายการ อิมิเน้นท์ แอร์ – ทรู หัวหิน คัพ 2021 ที่ ทีบีซี.สนุกเกอร์ ซอยรามคำแหง 89/1 โดยแข่งขันระบบ 3 ใน 5 เฟรม แพ้คัดออก จนเหลือ 16 คนสุดท้าย เพื่อเข้าร่วมแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย สนามแรก ระหว่างวันที่ 26 เมษายน– 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ที่ โรงแรมหัวหินแกรนด์ แอนด์ พลาซ่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
คู่ไฮไลท์ เป็นการพบกันระหว่าง พลอยชมภู เหล่าเกียรติพงษ์ (พลอย ขอนแก่น ) ดีกรีแชมป์สมัครเล่นโลก ปี 2019 และนักกีฬาสนุกเกอร์หญิงทีมชาติไทย ชุดเอเชี่ยนอินดอร์ แอนด์ มาเชี่ยลอาร์ตเกมส์ พบกับ วรวิทย์ ทองเหวียง หรือ ปอง พันคิว นักสนุกเกอร์ดาวรุ่งฝีมือดี
ผลปรากฏว่า พลอยชมภู แทงได้ดีสมราคา ด้วยการออกคิวอย่างไหลลื่น และไม่ยอมเปิดโอกาสให้ วรวิทย์ ออกมาแทงได้ตามถนัด โดย 2 เฟรมแรก กวาดไม้เดียวแต้มขาด ขณะที่เฟรมสุดท้ายก็ยังสามารถทำได้ดีแต้มขาดลอยเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ พลอย ขอนแก่น ชนะไปในที่สุด 3-0 เฟรม ( 77-6 , 61-24 , 62-29 ) ผ่านเข้าสู่รอบ 96 คนสุดท้ายได้สำเร็จ
ส่วนผลคู่อื่น สุริยา สุวรรณสิงห์ ( สุริยา พัทยา) ชนะ วิฑูรย์ สุรธรรมจรรยา 3-0 เฟรม / รัตนชัย ธูปาดิลก ชนะ วชราณัช บรรยงคนันท์ 3-1 เฟรม / พันธกานต์ คำเวียง ชนะ ชนินทร์ สาแหยม 3-1 เฟรม / กฤตชัย ใจเอื้อ ชนะ อาคม เรืองวงษ์ 3-2 เฟรม / สายชล ฟักเขียว ชนะ ชัยกวีย์ วินันท์สุชาติ 3-1 เฟรม / ปัณชยา จันทร์น้อย ชนะผ่าน ธานินทร์ พุทธมนต์ธร / ภูสิทธิ์ พันธุ์พงศ์ ชนะ วโรดม ชวนเจริญ 3-0 เฟรม / พิสัณห์ ดนัยพิริยะ ชนะ สัญญา สุดรอด 3-1 เฟรม / วิภู ภูธิศาบดี ชนะ สมบูรณ์ชาย ภวนาคโสภณ 3-1 เฟรม
สำหรับในวันที่ 1 เมษายน เป็นการแข่งขันในรอบ 96 คน แบบน็อคเอ้าท์ แพ้คัดออก ระบบ 3 ใน 5 เฟรม เริ่มเวลา 12.00 น. ผู้สนใจเข้าชมได้ฟรี ที่โต๊ะสนุกเกอร์ ทีบีซี. ซอยรามคำแหง 89/1
Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์
พิมพ์ไทยออนไลน์ // พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ กกท. เป็นประธานเปิดอาคารศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการ กกท.,คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล คณะกรรมการโอลิมปิกสากล, คณะกรรมการ กกท., ผู้บริหาร กกท., ผู้บริหารสมาคมกีฬา, ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา จากมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา คณะนักกีฬาทีมชาติไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ที่ อาคารศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬากกท.เมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา
ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2509 ถือเป็นวันที่สำคัญวันหนึ่งของฝ่ายวิทยาศาสตร์การกีฬา กกท. เพราะเป็นวันที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาได้ก่อตั้งขึ้น โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ อวย เกตุสิงห์ เป็นผู้อำนวยการคนแรก ฝ่ายวิทยาศาสตร์การกีฬา กกท. จึงได้ถือว่าวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนาของศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา ของ กกท. จนปัจจุบันนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬามีอายุครบ 55 ปี
โดยศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับยกย่องเป็นปูชนียบุคคล ให้เป็น “บิดาแห่งวิทยาศาสตร์การกีฬาของไทย” ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา ก่อตั้งโดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ พัฒนานักกีฬาไทยให้มีการฝึกซ้อม และแข่งขันกีฬาอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา นอกจากนี้ยังส่งเสริมสุขภาพ สมรรถภาพของนักกีฬา และการส่งเสริมสุขภาพพลานามัยของประชาชน ปัจจุบันศูนย์วิทย์ฯปรับปรุงอาคารทั้งภายในและภายนอก พร้อมทั้งจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์การกีฬาให้มีความทันสมัย เพื่อยกระดับการบริการด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาของประเทศ และรองรับการเก็บตัวฝึกซ้อมของนักกีฬาเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมแข่งขันในรายการต่าง ๆ ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ
โดยภายในศูนย์ฯ มีห้องสำหรับพัฒนาศักยภาพของนักกีฬา ประกอบด้วย 1.ห้องฝึกสมรรถภาพทางกาย 2.ห้องปฏิบัติการสรีระวิทยา 3.ห้องฟื้นฟูสมรรถภาพ 4.ห้องฝึกปรับภาวะแวดล้อมอากาศบนที่สูง 5.ห้องปฏิบัติการชีวกลศาสตร์ 6.ห้องปฏิบัติการจิตวิทยาการกีฬา 7.คลินิกโภชนาการกีฬา 8.ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีกีฬา นอกจากยังมีศูนย์บริการทางการแพทย์กีฬาอีกด้วย ศูนย์วิทย์ฯ พร้อมเปิดบริการอย่างเป็นทางการแล้ว สามารถติดตามข่าวสารข้อมูลศูนย์วิทยาศาตร์การกีฬาได้ที่ https://www.facebook.com/SportsScienceSAT
วันเดียวกัน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดอาคารศูนย์ฝึกกีฬาบอคเซียแห่งชาติ ภายในสนามกีฬาหัวหมาก กกท. โดยการก่อตั้งศูนย์ฝึกกีฬาบอคเซียแห่งชาติ เพื่อการพัฒนากีฬาคนพิการในประเทศ ไปสู่ความเป็นเลิศ สำหรับผู้พิการ ทางสมอง ให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ ด้วยอุปกรณ์สำหรับการฝึกซ้อมและแข่งขัน ที่มีความทันสมัย ได้มาตรฐานสากล ตลอดจนที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักกีฬาคนพิการ เป้าหมายสูงสุด คือประสบความสำเร็จการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์.
Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์
พิมพ์ไทยออนไลน์ // ความเคลื่อนไหววันที่ 4 ของกิจกรรมวิ่งครั้งประวัติศาสตร์ “FLAG OF NATION วิ่งส่งธงชาติไทย ไปโตเกียวโอลิมปิก” ต่อเนื่อง 61 วัน 35 จังหวัดรวมระยะ 4,606 กม. เหล่านักวิ่งหลากสาขาอาชีพ รวมพลังวิ่งธงไตรรงค์ส่งต่อกำลังใจให้ทัพนักกีฬาไทยคว้าชัย โดยมี นายปรีดา สุขใจ นายอำเภอ ปราณบุรี ประเดิมไม้เเรกของวันนี้ ด้าน “ปรียารัตน์ ฉิ่งเล็ก” คุณครูคณิตศาสตร์ วัย 25 สุดภูมิใจที่ได้ร่วมวิ่ง 1 กม. เผยขอเป็นส่วนหนึ่งของกำลังใจให้นักกีฬาไทยไปคว้าชัยและเหรียญทองโอลิมปิกกลับมาฝากแฟนๆ กีฬา ส่วนยอดรวมระยะทางวิ่ง 4 วัน อยู่ที่ 312.1 กม.
เมื่อวันที่ 31 มี.ค.64 วันที่ 4 ของกิจกรรมประวัติศาสตร์ “FLAG OF NATION วิ่งส่งธงชาติไทย ไปโตเกียวโอลิมปิก” ต่อเนื่อง 61 วัน 35 จังหวัดทั่วประเทศไทย รวมระยะ 4,606 กม. เทียบเท่าระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงกรุงโตเกียว ซึ่งเปิดคัดเลือกประชาชนที่สมัครเข้าร่วมกิจกรรม 4,658 คน ออกมาวิ่งธงชาติไทย ส่งกำลังใจให้นักกีฬาทีมชาติไทยคนละ 1 กม. นายปรีดา สุขใจ นายอำเภอปราณบุรี ให้เกียรตินำทีมร่วมออกวิ่งในผลัดเเรกตั้งเเต่ช่วงเช้าตรู่ ที่หน้าบริษัท โตโยต้าประจวบคีรีขันธ์ จำกัด สาขาปราณบุรี
การวิ่งในวันที่ 4 เริ่มออกสตาร์ทที่หน้าบริษัท โตโยต้า ประจวบคีรีขันธ์ จำกัด สาขาปราณบุรี มุ่งหน้าไปยังเส้นชัย สามอ่าว สเตเดียม จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมระยะทาง 66.6 กม. นักวิ่งสลับร่วมส่งให้กำลังใจวิ่งผลัดธงไตรรงค์ผืนที่จะถูกนำไปใช้จริงๆในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 32 ตลอดทั้งวัน ชนิดไม่หวั่นเเม้ต้องลงถนนลุยวิ่งท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุ ซึ่งนักวิ่งที่เข้าร่วมกิจกรรมก็มีหลากหลายอาชีพ เป็นข้าราชการครู, ทหาร, ช่างเเอร์, เจ้าของธรุกิจส่วนตัว, ผู้ใหญ่บ้าน รวมไปถึงอาชีพอิสระ
นายปรีดา สุขใจ นายอำเภอปราณบุรี กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมวิ่งส่งชาติไทยไปโตเกียวโอลิมปิก มองว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความรัก ความสามัคคี ความมีน้ำใจนักกีฬา ผ่านธงชาติไทยที่เป็นสื่อกลางการวิ่งธงไปยังจังหวัดต่างๆ เราซึ่งเป็นคนไทยยังมีโอกาสได้ร่วมกันให้กำลังใจนักกีฬาที่เป็นตัวเเทนทีมชาติไทย ไปเเข่งขันกีฬาโอลิมปิกเเละพาราลิมปิกเกมส์ ที่ญี่ปุ่น ขอให้ชาวไทยที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ ช่วยกันให้กำลังใจเเก่นักกีฬาตัวเเทนทีมชาติไทยด้วย
ด้าน ปรียารัตน์ ฉิ่งเล็ก คุณครูคณิตศาสตร์สาวสวย วัย 25 ของโรงเรียนบ้านโคกช้าง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดใจหลังร่วมวิ่งในช่วง กม.ที่ 286 ว่า รู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในครั้งนี้ มองว่านอกจากจะได้ออกกำลังกายเเล้ว ก็ถือเป็นการได้ร่วมส่งต่อกำลังใจผ่านธงชาติไทยไปให้นักกีฬาทุกคน ถึงเเม้จะเป็น 1 กม.สั้นๆ ขอเป็นกำลังใจให้นักกีฬาไทยคว้าเหรียญทอง สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ เเละเป็นเเเรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ เยาวชนเเละคนไทย
ทั้งนี้กิจกรรม “FLAG OF NATION วิ่งส่งธงชาติไทย ไปโตเกียวโอลิมปิก” ในวันที่ 4 เหล่านักวิ่งรวมใจกันวิ่งพิชิตระยะทางเพิ่มมาได้อีก 66.6 กม. ทำให้ผ่าน 4 วันสะสมระยะทางได้เเล้วทั้งสิ้น 312.1 กม. โดยวันที่ 5 วันที่ 1 เม.ย. 64 วิ่งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ถือว่าเป็นภารกิจที่ท้าทายไม่น้อยกับระยะทางทะลุหลักร้อยกม. ที่ระยะ 101.3 กม. ออกสตาร์ทจากสามอ่าว สเตเดียม เข้าเส้นชัยที่ปั๊มน้ำมันพีที สาขาบางสะพานน้อย
ผู้ที่สนใจติดตามความเคลื่อนไหวเเละรับชมการไลฟ์สด พร้อมร่วมคอมเมนต์ส่งกำลังใจให้กับอาสาสมัครนักวิ่งเเละนักกีฬาไทยได้ที่เฟซบุ๊ค “Road to Tokyo 2020” ตลอดทั้งวัน และความเคลื่อนไหวของกิจกรรมได้ที่ www.stadiumth.com เเละเฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/THStadium/
Cr. : นายวิชัย แสงทวีป ผู้สื่อข่าวพิมพ์ไทยออนไลน์