วันศุกร์, สิงหาคม 8, 2025

หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทยออนไลน์

หน้าแรก บล็อก

ตลาดยิ่งเจริญ จับมือพันธมิตร ปลุกพลังเมืองสีเขียว ผ่านสองโครงการ “Fry to Fly” และ “ไม่ทอดซ้ำ” ต้นแบบการจัดการน้ำมันใช้แล้ว

0

พิมพ์ไทยออนไลน์//ในโอกาสเฉลิมฉลอง 70 ปีแห่งการเติบโตเคียงข้างชุมชน และก้าวเข้าสู่ปีที่ 71 อย่างมั่นคง ตลาดยิ่งเจริญ ตอกย้ำพันธกิจ “ค้าขายอย่างยั่งยืน คืนกำไรสู่สังคม” ด้วยการเดินหน้าขับเคลื่อน 2 โครงการสำคัญ “Fry to Fly” และ “ไม่ทอดซ้ำ” อย่างเป็นรูปธรรม ร่วมกับพันธมิตรหลัก ได้แก่ บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) ในกลุ่มบางจาก และ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อจัดการน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วจากร้านค้าและครัวเรือนภายในตลาดอย่างมีระบบ พร้อมต่อยอดสู่พลังงานสะอาด และการพัฒนาชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน

โครงการ “Fry to Fly” มุ่งเน้นการรวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้ว เพื่อนำไปแปรรูปเป็น เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมสร้างมูลค่าใหม่ให้กับของเสีย โดยระบบจะดำเนินผ่านแอปพลิเคชัน “AssetWise GrowGreen” ที่เปิดให้ประชาชนนำ “น้ำมันใช้แล้ว” มาแลกเป็น “คอยน์” ใช้แทนเงินสดกับร้านค้าภายในตลาดยิ่งเจริญได้จริง

ขณะเดียวกัน โครงการ “ไม่ทอดซ้ำ” เป็นการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของการใช้น้ำมันทอดซ้ำเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น โรคมะเร็ง พร้อมผลักดันให้ร้านค้าหันมาใช้แนวทางการปรุงอาหารที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมลดพฤติกรรมทิ้งน้ำมันลงท่อที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อแหล่งน้ำ

ที่สำคัญ รายได้จากโครงการนี้จะส่งมอบเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือ ผู้ป่วยให้กับ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ตลอดจนกิจกรรมการกุศลอื่น ๆ ตอกย้ำการส่งต่อคุณค่าจากการค้าสู่การแบ่งปันเพื่อสังคมที่ยั่งยืนต่อไป

ภายในงานเปิดโครงการ ยังได้รับเกียรติจากผู้แทนภาครัฐและหน่วยงานเชี่ยวชาญ อาทิ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กรมอนามัย สถาบันอาหาร และโรงพยาบาลภูมิพลฯ พร้อมกิจกรรม “Troop Fry to Fly” ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ในตลาดอย่างเข้มข้น เพื่อชวนประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างเมืองสีเขียวไปด้วยกัน

นางกัญจนิดา ตันติสุนทร กรรมการบริหารตลาดยิ่งเจริญ กล่าวในพิธีลงนาม MOU ว่า “ตลาดยิ่งเจริญไม่ได้เป็นแค่สถานที่ซื้อขายสินค้า แต่คือเวทีของการเปลี่ยนแปลง เพื่อส่งต่อสิ่งดีให้ชุมชน เมือง และประเทศ”

นอกจากสองโครงการหลักข้างต้น ตลาดยิ่งเจริญยังขับเคลื่อนแนวทาง ESG อย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในหลายมิติ เช่น

” คิดจากคลอง ” พัฒนาแนวคลองสะพานใหม่–บางเขน ร่วมกับชุมชนและเขตบางเขน เพื่อเพิ่มคุณภาพน้ำ ฟื้นฟูระบบนิเวศและส่งเสริมกิจกรรมชุมชนริมคลอง

“แยกไขมันจากของเสีย” จัดการน้ำมันจากร้านค้าและแหล่งปรุงอาหารไม่ให้ปนเปื้อนลงสู่ระบบระบายน้ำ

“ปรับภูมิทัศน์-คืนชีวิตให้คลอง” ดำเนินการปรับปรุงแนวคลองบางเขนให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้และพักผ่อนของชุมชนเมือง
“ส่งเสริมการจัดการขยะต้นทาง” วางระบบคัดแยกและรีไซเคิลอย่างครบวงจรร่วมกับผู้ค้าและลูกค้า

เพื่อยกระดับให้ตลาดยิ่งเจริญเป็นมากกว่าแหล่งค้าปลีก แต่คือแหล่งเรียนรู้ของเมืองในอนาคต จึงได้จัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้ Green Bank” ซึ่งจะเป็นพื้นที่กลางในการสื่อสาร ถ่ายทอด และเวิร์กชอปด้านสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรหมุนเวียน เช่น น้ำมันใช้แล้ว เศษอาหาร ขยะอินทรีย์ เศษผัก ไปจนถึงการจัดการระบบน้ำเสีย เพื่อให้ชุมชนสามารถเรียนรู้และนำไปปรับใช้ได้จริง

🌿 เริ่มต้นความยั่งยืนจากครัวของคุณ…

ร่วมเปลี่ยนพลังงานเป็นน้ำใจ กับตลาดยิ่งเจริญวันนี้

📍 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Facebook: ตลาดยิ่งเจริญ Website: www.yingcharoenmarket.com

:Cr;มณสิการ รามจันทร์ 

สำนักข่าวเนตรทิพย์-ท้องกินข้าว สมองกินข่าว!

0

hhttps://linevoom.line.me/post/1175461202240761941?
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

หอการค้าไทย-ส.อ.ท. ประสานเสียง ภาษีสหรัฐฯ จบที่ 19% แข่งขันได้!

0

https://www.natethip.com/news.php?id=10626
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

 

 

 

 

สกพอ.เปิดกิจกรรม EEC Connext ในงาน Smart SME EXPO 2025 ส่งต่อโอกาส รายได้ องค์ความรู้ สร้างอนาคต ศก.ไทย

0

พิมพ์ไทยออนไลน์//สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดงาน กิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจวิสาหกิจชุมชนกับเป้าหมาย ในพื้นที่ อีอีซี (EEC Connext) ในงาน Smart SME EXPO 2025 เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมขั้นสูงในพื้นที่หลัก 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง พร้อมเชื่อมโยงการพัฒนาสู่ชุมชนในพื้นที่ ส่งต่อโอกาส รายได้ และองค์ความรู้ สร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กล่าวเปิดงาน “กิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจวิสาหกิจชุมชนกับเป้าหมาย ในพื้นที่ อีอีซี” EEC Connext ในงาน Smart SME EXPO 2025 ว่า “การขับเคลื่อน “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ถือเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงโลจิสติกส์ และการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล พลังงานสะอาดและสุขภาพ โดยมีพื้นที่หลักครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ซึ่งถือเป็นกลไกเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยในระยะยาวอย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่เราผลักดันให้เกิดการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมขั้นสูงในพื้นที่ สิ่งที่ สกพอ.ให้ความสำคัญควบคู่กัน คือ “การเชื่อมโยงประโยชน์จากการพัฒนาไปสู่ชุมชน” เพื่อให้การเติบโตนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในระดับมหภาค แต่สามารถส่งต่อโอกาส รายได้ และองค์ความรู้ไปยังระดับฐานรากของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง EEC Connext คือเครื่องมือในการส่งต่อศักยภาพนั้นสู่โอกาสเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรม”

ภายใต้โครงการนี้ สกพอ. ไม่ได้เพียงคัดเลือกสินค้ามาแสดงเท่านั้น แต่ยังมีการดำเนินกิจกรรมพัฒนาร่วมด้วย เช่น
• การสำรวจความต้องการจากภาคอุตสาหกรรม ผ่านการสำรวจ การประเมินจากนักลงทุนกว่า 100 ราย และการสัมภาษณ์เชิงลึกกว่า 30 บริษัท
• การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching)
• การเชื่อมโยงการจัดซื้อจัดจ้างระหว่างชุมชนกับนิคมฯ
• และนำสินค้าชุมชน เพื่อแสดงในงานเพื่อให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไป ได้รับรู้สินค้าจากชุมชนต่างๆ ใน EEC

“ความยั่งยืนของ EEC จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อ ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เชื่อมโยงกันอยู่ในห่วงโซ่คุณค่าเดียวกัน จึงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนภารกิจนี้ ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทย และความร่วมมือจากทุกฝ่ายขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ และขอเชิญชวนผู้ประกอบการ นักลงทุนและประชาชนทั่วไป มาร่วมสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน” นายก่อกิจ กล่าวทิ้งท้าย :Cr;มณสิการ รามจันทร์ 

เริ่มแล้ว Smart SME EXPO 2025 7-10 ส.ค.นี้ พาเหรดแฟรนไชส์ดีลด่วน 250 แบรนด์ เสิร์ฟครบจบในงาน คาดสะพัด 200 ลบ.

0

พิมพ์ไทยออนไลน์//เริ่มวันนี้วันแรกสำหรับงานธุรกิจและแฟรนไชส์แห่งปี Smart SME EXPO 2025 ครั้งที่ 11 ด้วยการขนทัพธุรกิจและแฟรนไชส์ที่พร้อมใจจัดโปรโมชั่นแรงชวนคุณมาดีลด่วนในงานรวมกว่า 250 แบรนด์ เต็มพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร หวังช่วยปลุกคนไทยฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจด้วยตัวช่วยแบบครบเบ็ดเสร็จในงานทั้งสินเชื่อ และทำเลให้เลือกสรรทั่วประเทศ พร้อมบูธให้คำปรึกษาสำหรับเอสเอ็มอี กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เสวนาให้ความรู้โดยผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย และกิจกรรมอบรมอาชีพฟรีอัดแน่นตลอดงาน พลาดไม่ได้ วันที่ 7-10 สิงหาคมนี้ ที่ฮอลล์ 7-8 อิมแพ็คเมืองทองธานี คาดเม็ดเงินสะพัดในงาน 200 ล้านบาท

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า “ธุรกิจ SME โดยเฉพาะธุรกิจแฟรนไชส์ มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงพาณิชย์เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SME ไทย ให้มีความสามารถในการแข่งขัน พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง และสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันอย่างเข้มข้นในปัจจุบัน การจัดงาน Smart SME EXPO 2025 ในวันนี้จึงเป็นเวทีเชื่อมโยงโอกาส ทั้งด้านการตลาด การเงิน การพัฒนาความรู้ และการต่อยอดนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งมั่นในการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการ SME ไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

ภายในงาน SMART SME EXPO 2025 นี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้นำธุรกิจภายใต้การส่งเสริมของกรมฯ ร่วมออกบูธ จำนวน 46 บูธ ประกอบด้วยธุรกิจแฟรนไชส์ จำนวน 40 บูธ ใน 6 ประเภทธุรกิจ ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม บริการ การศึกษา ค้าปลีก และความงาม/สปา ภายใต้ DBD Pavilion ขนาดพื้นที่กว่า 500 ตารางเมตร นอกจากนี้ยังมีธุรกิจต้นแบบที่ผ่านการพัฒนาจากกิจกรรมนักธุรกิจมืออาชีพ (DBD-SPE) จำนวน 3 บูธ และกิจกรรมนักการตลาดเชิงสร้างสรรค์ (DBD-ACM) จำนวน 3 บูธ เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่ายการบริโภคภาคครัวเรือน สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ แก่ผู้ว่างงานและผู้ต้องการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์

ด้านนางสาวณรินณ์ทิพ วิริยะบัณฑิตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้จัดงาน Smart SME EXPO 2025 ให้รายละเอียดว่า “งาน Smart SME EXPO 2025 ในครั้งนี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานพันธมิตรหลายภาคส่วน ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC), การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, สถาบันอาหาร, สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ, บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด, ธนาคารออมสิน, EXIM BANK, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) นำเหล่าธุรกิจและแฟรนไชส์แบรนด์ดังพร้อมใจลดราคาช่วงกลางปี พ่วงด้วยแหล่งเงินทุน และสินเชื่อ เพื่อตอบโจทย์คนอยากมีธุรกิจในยุคนี้ให้สามารถเริ่มต้นได้ง่ายดายและรวดเร็วยิ่งขึ้น กับโมเดลธุรกิจที่น่าเชื่อถือและสร้างรายได้ได้จริง

ธุรกิจและแฟรนไชส์กว่า 250 แบรนด์ชั้นนำ อาทิ โคตรปั่นสมูทตี้โยเกิร์ต, เพนกวินมิลค์ที, 39 RAMEN ,LG Laundry Lux, แฟรนไชส์น้ำด่างดริงค์โค, COCO WALK มะพร้าวน้ำหอมล้วนๆ, ชานมไข่มุก MOMO Shake, เสือน้อยหม่าล่าทั่ง , DR.TIGER LAUNDRY, Moncha ชานมไข่มุกเม็ดจิ๋ว, แฟรนไชส์ติดฟิล์ม Watch Protection Film, Ojisan Relaxing Station, แฟรนไชส์ร้านยางและช่วงล่าง พี.พี.ไทร์, เฮง ปัง ปั๊ว, อุปกรณ์เครื่องมือช่าง Fix & Build, ธุรกิจสะดวกซัก Speed Queen by VJ Group, ตู้ฆ่าเชื้อหมวกกันน็อกอัตโนมัติ Helmetclean SweetSun, Emberix Car Wash, ก๋วยเตี๋ยวเรือปัญจะรส, อนิเมะชานมไข่มุก, ซีทีที โลจิสติกส์, ไก่ว้าว, เจปัง, Hey Coffee, ไทยสัปปายะ, PAPA SNACKS หนังไก่กรอบ ฯลฯ นอกจากนี้ยังเสริมทัพด้วยนวัตกรรมและสินค้าชุมชนจากอีอีซี รวมกว่า 30 บูธ มาให้เลือกชิม ช้อปแบบจุใจในงานอีกด้วย

สำหรับใครที่สนใจลงทุนธุรกิจหรือแฟรนไชส์แต่ติดขัดเรื่องเงินทุน ภายในงานยังมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับเอสเอ็มอีจากธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน), EXIM BANK, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และ Funding Societies ให้เลือกมากมาย นอกจากนี้ยังมีบูธให้คำปรึกษาทั้งในเรื่องการตลาด การลงทุน การพัฒนาสินค้า การสร้างแบรนด์ การขยายตลาดต่างประเทศ ฯลฯ อีกทั้งยังมีเสวนาให้ความรู้จากเหล่าวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิอีกคับคั่ง กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และกิจกรรมอบรมอาชีพฟรีตลอดงาน

“อยากเชิญชวนผู้ที่กำลังมองหาอาชีพ คนว่างงาน วัยเกษียณ รวมทั้งผู้สนใจลงทุน มาเดินช้อปธุรกิจและแฟรนไชส์ที่เราดีลมาจัดโปรโมชั่นราคาพิเศษทั้งงาน พร้อมกิจกรรมพิเศษอีกมากมาย ที่เชื่อมั่นว่าจะช่วยจุดประกายไอเดียในการเริ่มต้นธุรกิจและอาชีพ รวมทั้งเติมองค์ความรู้เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจของคุณให้ก้าวทันโลกสามารถเติบโตและยืนหยัดได้ท่ามกลางภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน งาน Smart SME EXPO มุ่งมั่นเป็นเวทีที่จะสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เข้มแข็งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งต่อไป โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดราว 200 ล้านบาท” นางสาวณรินณ์ทิพกล่าวปิดท้าย

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Smart SME EXPO 2025 ได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย โดยงานจัดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7-10 สิงหาคมนี้ ที่ฮอลล์ 7-8 อิมแพ็คเมืองทองธานี บริการที่จอดรถมากมาย หรือใช้บริการรถไฟฟ้าสายสายชมพู สอบถามรายละเอียดโทร. 086-314-1482 :Cr;มณสิการ รามจันทร์ 

อากาศหนุน ดันผลผลิตพืชสำคัญเพิ่ม ส่งผล GDP เกษตรพุ่ง 5.5%

0


นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 2 ปี 2568 (เมษายน – มิถุนายน) ขยายตัวถึงร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับ
ช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ต่อเนื่องมาถึงช่วงต้นปี 2568 ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำตามธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง ประกอบกับสภาพอากาศโดยทั่วไปเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของพืชผล เกษตรกรจึงมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เคยปล่อยว่าง รวมทั้งมีการบำรุงดูแลและเฝ้าระวังโรคมากขึ้น ส่งผลให้สาขาพืชซึ่งเป็นสาขาการผลิตหลักขยายตัวได้ดี และส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังสาขาบริการทางการเกษตร ขณะที่สาขาประมงและสาขาป่าไม้ขยายตัวจากความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น ส่วนสาขาปศุสัตว์มีทิศทางหดตัว สำหรับรายละเอียดการผลิตในแต่ละสาขา มีดังนี้..

สาขาพืช ขยายตัวร้อยละ 7.9 เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงปลายปี 2567 เอื้ออำนวยต่อการผลิตพืชหลายชนิด โดยเฉพาะไม้ผลที่มีการออกดอกติดผลได้ดี ประกอบกับช่วงต้นปีถึงเดือนพฤษภาคม 2568 มีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ทำให้พืชหลายชนิดเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น สินค้าพืชที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของต้นข้าว เกษตรกรจึงขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกเขตชลประทาน บางพื้นที่มีการปลูกข้าวนาปรังถึง 2 รอบ ประกอบกับราคาข้าวในช่วงที่ผ่านมา
อยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรใส่ปุ๋ยและบำรุงรักษามากขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มสูงขึ้น สับปะรดปัตตาเวีย ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและมีปริมาณน้ำฝนเพียงพอต่อการเพาะปลูก ทำให้ต้นสับปะรดมีความสมบูรณ์ สามารถบังคับให้ออกผลได้มากกว่าปีที่ผ่านมา อีกทั้งไม่ประสบปัญหาภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วงอย่างที่เกิดขึ้นในปีก่อนหน้า
ส่งผลให้พื้นที่เก็บเกี่ยวและผลผลิตรวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้น ปาล์มน้ำมัน ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาปาล์มในปี 2565
อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกแทนยางพารา พื้นที่นา และพื้นที่รกร้าง ซึ่งเริ่มให้ผลผลิตในปี 2568 เป็นปีแรก ประกอบกับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 ทำให้ต้นปาล์มสมบูรณ์ มีการออกทะลายเพิ่มขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้น ลำไย ทุเรียน มังคุด และเงาะ เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในภาคตะวันออก เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอก
ติดผล ไม่ร้อนและแห้งแล้งเหมือนปีที่ผ่านมา ราคาที่อยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่องหลายปี จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่และดูแลรักษาเป็นอย่างดี ประกอบกับในปีที่ผ่านมาไม้ผลส่วนใหญ่ให้ผลผลิตน้อย ทำให้มีการพักต้นสะสมอาหาร ส่งผลให้ปีนี้มีความสมบูรณ์และให้ผลผลิตได้มากขึ้น

สินค้าพืชที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ มันสำปะหลัง ผลผลิตลดลงจากผลกระทบของการระบาดของโรคใบด่าง
มันสำปะหลังในแหล่งเพาะปลูกหลักทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับฝนที่มาล่าช้าในช่วงเริ่มต้นฤดูเพาะปลูก และฝนที่ตกชุกในช่วงการสะสมอาหาร ส่งผลให้หัวมันสำปะหลังได้รับความเสียหาย อ้อยโรงงาน ผลผลิตลดลง เนื่องจากต้นอ้อย
มีการเติบโตได้ดีจากปริมาณฝนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ทำให้ผลผลิตส่วนใหญ่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วในช่วงไตรมาสแรก
ของปี 2568 ส่งผลให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตในไตรมาส 2 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ยางพารา ผลผลิตลดลง เนื่องจากจำนวนวันกรีดลดลงจากการดำเนินมาตรการขอความร่วมมือเลื่อนฤดูเปิดกรีดยางออกไป 1 เดือน ของภาครัฐ นอกจากนี้ เกษตรกรในภาคใต้และภาคตะวันออกมีการตัดโค่นต้นยางอายุมากที่ให้ผลผลิตน้อย เพื่อปรับเปลี่ยนไปปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้นชนิดอื่น
สาขาปศุสัตว์ หดตัวร้อยละ 0.9 โดยสุกรและไข่ไก่ มีผลผลิตลดลงจากการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคาของภาครัฐ โดยมีการปรับลดแม่พันธุ์สุกรภายในประเทศ และการขอความร่วมมือให้เกษตรกรปลดแม่ไก่ยืนกรงตามอายุ
ที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ทำให้ปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดลดลง อย่างไรก็ตาม ปริมาณไข่ไก่ยังคงเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ไก่เนื้อและน้ำนมดิบ มีการผลิตเพิ่มขึ้นตามความต้องการบริโภคในประเทศและการส่งออก
ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่เกษตรกรมีการปรับปรุงการบริหารจัดการฟาร์มและนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ประกอบกับภาครัฐมีการเฝ้าระวังโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง

สาขาประมง ขยายตัวร้อยละ 1.3 โดยกุ้งขาวแวนนาไม ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสาขานี้ มีผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคากุ้งมีแนวโน้มสูงขึ้น จูงใจให้เกษตรกรปรับเพิ่มปริมาณการปล่อยลูกกุ้ง ประกอบกับมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี ทำให้กุ้งมีอัตราการรอดสูง ส่วนปลานิล ปลาดุก และสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือ ผลผลิตลดลง เนื่องจากราคาอาหารสัตว์น้ำซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ทำให้เกษตรกรปรับลดปริมาณการปล่อยลูกพันธุ์ปลา ขณะที่การทำประมงทะเล ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวน และต้นทุนด้านน้ำมันเชื้อเพลิงที่ค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ประกอบการประมงมีการออกเรือจับสัตว์น้ำลดลง

สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัวร้อยละ 2.8 เป็นผลสืบเนื่องจากการขยายตัวในสาขาพืช โดยเกษตรกร
มีการขยายเนื้อที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เคยปล่อยว่าง ส่งผลให้ภาพรวมกิจกรรมการจ้างบริการทางการเกษตรเพื่อเตรียมดินและการเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่สำคัญเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และสับปะรดปัตตาเวีย
สาขาป่าไม้ ขยายตัวร้อยละ 0.6 โดยผลผลิตไม้ยูคาลิปตัส ถ่านไม้ และรังนก เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ภายในประเทศและตลาดต่างประเทศที่ขยายตัว ขณะที่ไม้ยางพาราลดลงตามพื้นที่เป้าหมายการตัดโค่นสวนยางพาราเก่าของการยางแห่งประเทศไทย และความต้องการนำเข้าของจีนสำหรับอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ที่ลดลง ส่วนครั่ง ผลผลิตลดลง
จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของครั่ง

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรทั้งปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0 – 3.0 เมื่อเทียบกับ
ปี 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณฝนที่มากขึ้นและตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติมีเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกตลอดปี ประกอบกับมีการดำเนินนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตร รวมทั้งการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่อง อาทิ การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและยกระดับสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน การเฝ้าระวังโรคระบาดในพืชและสัตว์ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความแปรปรวนของสภาพอากาศ ราคาปัจจัยการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดมีทิศทางลดลง รวมถึงปัจจัยภายนอก อาทิ ความขัดแย้งและสงครามการค้าระหว่างประเทศ มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดมากขึ้น และนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา อาจทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทย และส่งผลต่อเนื่องมายังปริมาณการผลิตและราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ.

 

 

 

 

ไฟฟ้าพลังงานสะอาด อืดเป็นเรือเกลือ “ดาต้าเซ็นเตอร์-FDI” ชะงัก จ่อซบเวียดนาม ด้าน กกพ.ตาสว่าง เดินหน้าซื้อไฟฟ้าสะอาดแล้ว

0

https://www.natethip.com/news.php?id=10616
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

 

สำนักข่าวเนตรทิพย์-ท้องกินข้าว สมองกินข่าว!

0

https://linevoom.line.me/post/1175452468637291427?
Cr. : ต้นฉบับจาก สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์

(อ่านเพิ่มเติม : ลิ๊งค์เว็บไซต์-เนตรทิพย์ ออนไลน์-ด้านบน)

 

 

 

ประเทศไทยและอิสราเอลร่วมกันจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยทาง ไซเบอร์เป็นครั้งแรก

0

พิมพ์ไทยออนไลน์//สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ร่วมกันจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระหว่างประเทศไทยละอิสราเอลเป็นครั้งแรก ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 สิงหาคม 2568

โดยมีคณะผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ชั้นนำจากอิสราเอลเข้าร่วมกิจกรรมอิสราเอลได้รับการยอมรับในระดับโลกว่าเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยยังคงเดินหน้าพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง จนได้ประเทศผู้นำด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์

ปัจจุบันนี้อิสราเอลเป็นศูนย์กลางของบริษัทระดับยูนิคอร์นด้านไซเบอร์มากกว่า 20 บริษัท โดยมีระบบนิเวศทางไซเบอร์ที่เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ การลงทุนเชิงลึกอย่างมีคุณภาพ เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ อันส่งผลให้ประเทศอิสราเอลมีบทบาทสำคัญยิ่งในเวทีโลก ด้านการรักษาความปลอดภัยโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและการพัฒนาโซลูชันล้ำสมัย เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา

การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้กรอบของบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสำนักงานความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติของอิสราเอล (INCD) และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ของไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี ที่มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของทั้งสองประเทศ โดยผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความร่วมมืออย่างใกล้ชิด

ตลอดระยะเวลาสามวัน ผู้เข้าร่วมประชุมจากทั้งสองประเทศ ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐระดับสูง ผู้บริหารด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ได้รับฟังการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญ โดยมีการยกตัวอย่างกรณีศึกษา และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเชิงลึกเพื่อสำรวจภัยคุกคามทางไซเบอร์ยุคใหม่ ทั้งยังมีการศึกษาแนวปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุด และหารือแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและเศรษฐกิจในโลกยุคดิจิทัล

เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นางออร์นา ซากิฟ กล่าวว่า “สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลมุ่งมั่นในการส่งเสริมนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และขยายความร่วมมือระหว่างประเทศอิสราเอลและประเทศไทย การประชุมตลอดสามวันนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกัน และสร้างความเป็นหุ้นส่วนระยะยาวในด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมของทั้งสองประเทศในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและความพร้อมด้านไซเบอร์ เพื่ออนาคตที่ดียิ่งขึ้น”

Thailand and Israel Launch First Joint Cybersecurity Workshop in Bangkok

The Embassy of Israel, in partnership with Thailand’s National Cyber Security Agency (NCSA), proudly launches the first Thailand-Israel Cybersecurity Workshop held from August 5-7, 2025 featuring a leading cyber delegation from Israel.
Globally recognized as a pioneer in cyber innovation, Israel continues to drive technological advancement and lead in cybersecurity.

Home to over 20 cybersecurity unicorns, Israel’s dynamic cyber ecosystem is fueled by entrepreneurship and significant investment, positioning the country as a key global player in securing digital infrastructures. Israeli companies spearhead the development of cutting-edge solutions to address the ever-evolving cyber threat landscape.

This workshop stems from the Memorandum of Understanding (MoU) signed between Israel’s National Cyber Directorate (INCD) and Thailand’s NCSA, aimed at enhancing cybersecurity cooperation. It represents a significant milestone in strengthening bilateral relations and building resilient digital infrastructure through collaboration and knowledge-sharing.

The three-day program brings together senior government officials, cybersecurity executives, and technical experts from both countries. Through expert-led sessions, case studies, and interactive discussions, participants will explore emerging cyber threats, exchange best practices and discuss strategic solutions to protect national and economic interests in an increasingly digital world.

Ambassador of Israel to Thailand, Ms. Orna Sagiv, stated, “The Embassy of Israel is dedicated to fostering technological innovation and strengthening collaboration between Israel and Thailand. This three-day program is designed to promote mutual understanding and long-term partnership in the cyber domain. It reflects the shared commitment of bothCr countries to advancing cybersecurity innovation and preparedness for a better world.” :Cr;มณสิการ รามจันทร์